
คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
วันก่อน ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในงานดินเนอร์ทอล์กของ “ประชาชาติธุรกิจ”
เป็นครั้งแรกที่คุณเศรษฐาเปิดใจหลังการเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยที่คาดหมายกันว่าจะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง และตั้งเป้าหมายถึงขั้นแลนด์สไลด์ กลับพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล
ประเด็นที่ผมสนใจ คือ คุณเศรษฐาสรุปบทเรียนอย่างไร
คนที่คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจมายาวนาน เคยผ่านวิกฤติมาหลายครั้งและสามารถนำพา “แสนสิริ” องค์กรที่เต็มไปด้วย “คนรุ่นใหม่” ประสบความสำเร็จ
เขามอง “ความพ่ายแพ้” ครั้งนี้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน คุณเศรษฐาเพิ่งก้าวเข้าสู่สนามการเมือง ไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมการเมืองแบบเดิม ๆ
มุมมองของเขาจึงไม่ใช่แบบ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่อยู่ในวงการมายาวนาน
แต่เป็นมุมมองของ “คนใหม่” ที่ไม่ติดกับกรอบเดิม
ผมนึกถึงผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เคยบอกว่า เวลารับคนใหม่เข้ามาทำงาน ถ้าเกิดปัญหาเดินสะดุดอะไรขึ้นมา ให้ตั้งคำถามว่า “คนใหม่” ซุ่มซ่าม
หรือ “คนเก่า” วางของเกะกะ
เพราะการที่ “คนเก่า” ไม่คิดว่าระบบหรือโครงสร้างเดิมมีปัญหา อาจเป็นเพราะเขาคุ้นชินกับระบบและคนเดิม ๆ
เรื่องหนึ่งเคยเซ็นชื่อ 4-5 คน และกว่าจะตัดสินใจใช้เวลาเป็นสัปดาห์
คนเก่าคุ้นกับระบบนี้มานาน จึงไม่ตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเซ็นตั้งหลายคนและใช้เวลานานขนาดนี้
แต่ “คนใหม่” จะสงสัยและตั้งคำถาม
คุณเศรษฐาเพิ่งเข้าสู่แวดวงการเมืองกับพรรคการเมืองที่อายุนานกว่า 20 ปี
องค์กรที่เก่าแก่จะสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
มี “ท่าไม้ตาย” ที่ใช้เป็นประจำ
ยิ่งชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง ย่อมไม่มีใครตั้งคำถามกับกระบวนท่าที่เคยใช้ ว่ายังเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันหรือไม่
การเลือกตั้งครั้งนี้ คุณเศรษฐาก็เดินตามกระบวนท่าเดิมของพรรคเพื่อไทยที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน
แต่ทันทีที่ผลการเลือกตั้งออกมาว่าพรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคของคนหนุ่มสาวใช้กระบวนท่าที่แตกต่าง และระบบการหาเสียงแบบใหม่
คุณเศรษฐาเรียกว่านี่คือ wake up call ที่ดังมาก ๆ สำหรับพรรคเพื่อไทย
เขาตั้งคำถามว่า การตั้งเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ถึง 150 เวที มีผู้คนมาฟังจำนวนมาก ๆ ยังเป็นวิธีการที่เหมาะสมไหม
หรือว่ามีวิธีการอื่นที่ดีกว่า
เวทีปราศรัยยังมีแบบเดิม แต่ลดจำนวนลง
และให้ความสำคัญกับรูปแบบอื่นบ้างดีไหม
เขาบอกว่า พรรคเพื่อไทยมีวิธีคิดในการแก้ปัญหาประเทศชาติแบบค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง และนำเสนอนโยบายด้านปากท้องเป็นหลัก
เพราะคิดว่าชาวบ้านยากจนมานาน ต้องการให้เศรษฐกิจดี
และพรรคเพื่อไทยมีเครดิตในเรื่องนี้
ในขณะที่พรรคก้าวไกล เสนอแนวคิดแบบ “พลิกฝ่ามือ” เปลี่ยนโครงสร้าง
คุณเศรษฐาสรุปว่า ช่วง 9 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นมากและเริ่มชินกับการใช้จ่ายที่ไม่คล่องตัว
“คนต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือ”
สำหรับผมประเด็นนี้คือเรื่องที่น่ากลัวมาก
ลองนึกภาพชาวบ้านที่ยากจน แต่ยอมปฏิเสธเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย และเลือกการรื้อโครงสร้างของพรรคก้าวไกล
พลังความไม่พอใจของชาวบ้านต้องสูงมาก ๆ
และถ้าใครไปทำลาย “ความหวัง” ของเขา
คุณกำลังท้าทายกับ “สึนามิ” การเมือง
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คุณเศรษฐาตั้งคำถามว่า การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็วภายในเวลาคืนเดียวของพรรคก้าวไกลในกรณี “#มีกรณ์ ไม่มีกู”
พรรคเพื่อไทยทำได้ไหม
และถ้าจะทำต้องใช้เวลาตัดสินใจนานเท่าไร
การสรุปบทเรียนที่ดี เราต้องไม่เริ่มต้นด้วยการชี้นิ้วไปที่คนอื่น
โทษคู่ต่อสู้ เพื่อทำให้เราไม่ผิด
บทเรียนที่มีค่าที่สุด คือ การชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
มองข้อบกพร่องของเรา
สรุปบทเรียนแบบนี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่แท้จริง
คุณเศรษฐาบอกว่า นับจากนี้เป็นต้นไป เขาจะเข้าไปลุยแบบเต็มตัว
จะรีแบรนด์พรรคเพื่อไทย และปรับวิธีคิดใหม่
ให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ประสบการณ์ใน “แสนสิริ” ที่เขาทำงานกับ “คนรุ่นใหม่” น่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อไทย
และการเลือกตั้งครั้งหน้าคงสนุกมาก
เพราะคุณเศรษฐาประกาศชัดเจน
“ผมไม่ชอบความพ่ายแพ้”
คำพูดไม่เท่าไร
แต่สายตาของคุณเศรษฐาตอนที่พูดประโยคนี้
รู้เลยว่าเขาเอาจริง