ชาดา-รังสิมันต์ โรม ปะทะเดือด ในญัตติถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ

สภาถกญัตติด่วนการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ รังสิมันต์ โรม เปิดรูปชาดาถ่ายคู่ คปปส. ชาดาโต้กลับมีคนเบื้องหลังจ่ายเงินหนุนเด็กให้กระทำการ ก้าวไกลขอสภาส่งญัตติให้ กมธ.ความมั่นคง ที่มี รังสิมันต์ โรม ตามต่อ

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังเข้าสู่วาระการประชุม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์

เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาจำนวน 2 ญัตติ เรื่องการขอให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบ แผน และมาตรการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชน เพื่อเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ และรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ เพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม

รทสช.หวั่นเกิดค่านิยมใหม่

โดยนายเอกนัฏกล่าวว่า เนื่องจากเหตุการณ์รบกวนก่อกวนขบวนเสด็จวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา หากไม่มีการจัดการเร่งด่วนจะทำให้เหตุการณ์บานปลายกระทบศีลธรรมและความมั่นคงประเทศ คลิปที่เผยแพร่ทำให้ตกใจ เพราะชัดเจนว่าขบวนเสด็จเป็นขบวนสั้นมาก ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ไม่มีการปิดถนนให้กระทบการสัญจร แค่ไปเป็นจังหวะ เป็นช่วงตอน แต่มีรถของผู้ก่อเหตุวิ่งไล่ขบวนเสด็จหลังขบวนเสด็จผ่านไปแล้ว

ดังนั้น จึงต้องเร่งรัดการปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้สถานการณ์บานปลายดังนี้ 1.ให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทันที การเรียกร้องไม่ใช่การล่าแม่มด ใช้ศาลเตี้ยวินิจฉัย แต่เพื่อความสงบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ต้องเร่งบังคับใช้กฎหมาย การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบ ต้องไม่ละเมิดหรือทำผิดกฎหมาย

เอกณัฏ

2.การใช้พื้นที่ในสภาให้มีข้อสรุปการทบทวนระเบียบ มาตรการต่าง ๆ และแผนการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ แม้ปัจจุบัน พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัยจะมีความชัดเจน แต่เนื่องจากเป็นภารกิจที่มีความสำคัญ ทำให้กังวลถ้าไม่ทบทวนมาตรการให้เข้มงวด จะเกิดแฟชั่น ค่านิยมใหม่ ถ้าสถานการณ์บานปลายมากกว่านี้ อาจเกิดอุบัติเหตุเหมือนที่เกิดขึ้นกับเจ้าหญิงไดอาน่าได้

“ขอย้ำว่า สส.รวมไทยสร้างชาติอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากให้มีค่านิยมที่เป็นแฟชั่นไปบั่นทอนสถาบันหลักประเทศ ขอให้มีการทบทวนมาตรการดูแลขบวนเสด็จให้เข้มงวด เหมาะสม”

ปชป.เสนอ 4 ข้อ ป้องกันเหตุ

ด้านนายจุรินทร์เสนอ 4 ข้อเพื่อให้สภาได้พิจารณาคือ 1.รัฐบาลต้องตระหนักในหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามกฎหมาย รวมทั้งให้เป็นไปด้วยความปลอดภัย สมพระเกียรติ ด้วยความสำนึกกระตือรือร้นจงรักภักดี และควรเร่งรัดดำเนินการมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาอีก

2.ให้รัฐบาลยึดหลักนิติธรรม บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่ว่ากับฝ่ายใด เพื่อทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และไม่เป็นการส่งเสริมการกระทำผิดอีกต่อไปในอนาคต

3.ในฐานะที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากทั้งในสภา และในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม รัฐบาลต้องไม่สนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมความผิดในคดีมาตรา 112 เพราะนอกจากจะเป็นฉนวนขัดแย้งรอบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังเท่ากับส่งเสริมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 112 เพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุป่วนขบวนเสด็จ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าไม่สมควรส่งเสริมให้มีการนิรโทษกรรมความผิดตามาตรา 112

และ 4.รัฐบาลควรตั้งหลักพิจารณาร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบครอบ รอบด้าน ว่าสมควรที่จะมีการปรับปรุง พ.ร.บ.ถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 หรือไม่ โดยเพิ่มเติมให้มีการกำหนดบทลงโทษเป็นการเฉพาะกับผู้ละเมิด พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมทั้งการพิจารณาว่าจำเป็นต้องทบทวนกฎ ระเบียบ มาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติมอีกด้วยหรือไม่

“ดังนั้น ขอให้สภาได้มีมติให้ส่งความเห็น เพื่อให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการ และมีความประสงค์ให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภารับไปประกอบการพิจารณา” นายจุรินทร์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นที่ประชุมได้เปิดให้มีการอภิปรายถึงแผนและมาตรการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม อย่างกว้างขวาง ทั้ง สส.ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน

โรม VS ชาดา

กระทั่งนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลังเกิดเหตุการณ์นั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เลยไปจากความเป็นจริงมาก หลายคนคงมีความรู้สึกต่าง ๆ นานา แต่หากไม่มีการพิจารณาอย่างมีวุฒิภาวะ พวกท่านทั้งหลายกำลังสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวให้เกิดขึ้น คือการทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นกับกลุ่มนักเคลื่อนไหว ต่อหน้าตำรวจ สื่อมวลชน และประชาชนที่เดินผ่านไปมา

หลังเหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่มีการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุดังกล่าว การขับรถติดตามขบวนเสด็จของ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และคนอื่น ๆ จะพบว่าเหตุการณ์นี้ตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างใจเย็น และมีวุฒิภาวะ ทำให้สถานการณ์ไม่บานปลาย เชื่อว่าหากนักเคลื่อนไหวมีความพยายามที่มากกว่าที่เราเห็น อย่างการบีบแตร หรือการขับรถจี้ท้ายขบวน ตนเชื่อว่าตำรวจรักษาความปลอดภัยคงมีมาตรการที่มากขึ้น

หากพิจารณาต่อไปตามกฎหมายที่มี อย่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 5 ประกอบมาตรา 7 ระบุว่าได้ให้อำนาจอย่างกว้างขวาง และเพียงพอที่จะรักษาความปลอดภัย กฎหมายไม่ได้กำหนดเฉพาะเจาะจง แต่กฎหมายกำหนดให้ผู้มีอำนาจสามารถใช้ดุลยพินิจปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ตีเช็คเปล่าให้ใช้ความรุนแรง

ทั้งหมดที่ตนพูดเพื่อจะบอกว่า เราต้องมีสติ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มนักเคลื่อนไหว หากมีกระทำผิดจริง ตนเข้าใจได้หากเป็นตามกฎหมาย แต่หากจะมีการปรับใช้กฎหมาย ต้องใช้อย่างโปร่งใส คำถามสำคัญคือ วันนี้ความผิดดังกล่าวกับกฎหมายปรับใช้ได้สัดส่วนหรือไม่ ผู้มีอำนาจต้องตอบคำถามนี้ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นความขัดแย้งใหม่ที่อาจลุกลามบานปลายไม่จบสิ้น หากพูดอย่างตรงไปตรงมา

ตนผิดหวังกับท่าทีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดีของบ้านเมืองนี้ การพูดว่าตนและคณะรัฐมนตรีไม่สนับสนุนใช้ความรุนแรง และขอให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อปกป้องสถาบันแปลว่าอะไร ตนฟังท่อนแรกเกือบจะดี แต่ท่อนต่อมา ตนไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า ท่านกำลังเรียกร้องให้มีการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้ที่ก่อความรุนแรงเลย ท่านอาจไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง แต่ท่านไม่ได้เรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ก่อความรุนแรง คำพูดแบบนี่จะกลายเป็นการเขียนเข็คเปล่าให้กับผู้ที่ก่อความรุนแรงหรือไม่

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า หากถอยสักนิดดูว่าการกระทำของกลุ่มนักเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ พวกเขาก็พยายามนำเสนอด้วยวิธีการอย่างสงบ ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เราอาจเห็นการตั้งคำถามที่เสียดแทงจิตใจคนในสังคม ด้วยการให้คนติดสติ๊กเกอร์ เราอาจไม่เห็นด้วยกับคำถามของเขา แต่เราต้องยอมรับว่า การกระทำดังกล่าวเขาไม่ได้ลงมือทำร้ายใคร

ที่เขาทำแบบนี้อาจเพราะที่ผ่านมา เรากำลังทำหน้าที่ในสภาไม่ดีพอ เราไม่สามารถนำบทสนทนาที่เกิดขึ้นบนท้องถนนเข้ามาพูดในสภาได้ เราอาจกำลังล้มเหลว และปล่อยให้เขาต้องดิ้นรนหาวิธีการเอง สิ่งที่ตามมาคือการบังคับใช้นิติสงคราม กับคนที่รณรงค์ผ่านการถามด้วยสติ๊กเกอร์ ต้องใช้วิธีการอื่น เพื่อให้ประเด็นของพวกเขาถูกสนใจ

จากนั้น นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ลุกขึ้นประท้วงนายรังสิมันต์ ว่ากำลังอภิปรายนอกประเด็นที่ได้เสนอญัตติไป ทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง กล่าวว่า ขอให้นายรังสิมันต์อภิปรายในประเด็น

โชว์รูปชาดา

จากนั้นนายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ท่อนไหนของตนที่ไม่อยู่ในญัตติ วันนี้เรากำลังพูดถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่มาตรการรักษาความปลอดภัยต้องอยู่บนความเป็นจริง หากเราไม่ได้พูดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เราจะรักษาความปลอดภัยได้อย่างไร วันนี้เราเห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จากการสร้างความหวาดกลัว จากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ศปปส. ซึ่งโพสต์ข้อความปลุกปั่นบนโซเชียลมีเดีย ว่าจะเขือดไก่ให้ลิงดู, เก็บน.ส.ทานตะวันที่อายุ 20 ปีเป็นคนแรก, ขู่ฆ่าหยกที่อายุ 15 ปี หรือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าอาชีวะราชภักดี ที่ขู่ว่าจะจัดการสายน้ำ ตามสไตล์อาชีวะปะทะก่อนค่อยคุย นี่คือกลุ่มคนที่จะนำพาความรุนแรง ความหวาดกลัวให้เข้ามาในสังคม

ระหว่างนั้น สไลด์ของนายรังสิมันต์ได้นำรูปภาพที่นายรังสิมันต์อ้างว่าเป็นกลุ่ม คปปส.ถ่ายรูปกับนายชาดา ไทยเศรษฐ รมช.มหาดไทย พร้อมกับข้อความที่อภิปราย

จากนั้นนายเกชาได้ลุกขึ้นประท้วงในเรื่องเดิมอีกครั้ง ทำให้นายพิเชษฐ์วินิจฉัยให้นายรังสิมันต์สามารถอภิปรายต่อไปได้ นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ยังมีความรุนแรง ถ้อยคำอีกมากที่ถูกเอ่ยผ่านคนสำคัญจำนวนมาก แม้กระทั่งนายชาดา ไทยเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่พูดไปไกลถึงการเนรคุณแผ่นดิน การปลุกปั่นแบบนี้ที่ตนพูดมา เพราะท่านกำลังปลุกปั่นให้สถานการณ์ร้ายแรงเกินความเป็นจริงมาก

สิ่งที่จะเกิดขึ้น การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในใจกลางปัญหาความขัดแย้งแบบนี้ จะทำให้คนทั้งสังคมไม่รู้สึกปลอดภัย แล้วท่านจะสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยด้วยอะไร หากสุดท้ายผีที่ท่านสร้างขึ้นมา มาจากพวกท่านเอง ถ้าวันหนึ่งเราปล่อยให้สถานการณ์บานปลายต่อไปเรื่อย ๆ

อยากใช้โอกาสนี้ไปถึงนายกฯ และรัฐบาล หากไม่มีการดึงสติแล้วเกิดเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นจริง  อาจทำให้ผู้ใช้ความรุนแรงไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไร คนเขาจะหาว่ารัฐบาลคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายชาดาลุกขึ้นประท้วงตอบโต้นายรังสิมันต์อย่างมีอารมณ์ ท่ามกลาง สส.พรรคร่วมรัฐบาล อาทิ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ที่มายืนล้อมด้านหลังกว่า 10 คน และเป็นที่น่าสังเกตว่า มี สส.ประชาธิปัตย์ ยืนอยู่ด้วย อาทิ นายพิทักษ์ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช

โดยนายชาดากล่าวโดยใช้สิทธิพาดพิงว่า เมื่อสักครู่ได้มีสมาชิกเปิดรูปตน ส่อให้เกิดเจตนารมณ์ที่ไม่ดีอย่างมาก สร้างความแตกแยก และสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน ทําให้ตนเสียหาย ยืนยันว่าพฤติกรรมที่กลุ่มเยาวชนกําลังทํากันอยู่นั้น ไม่ใช่ความรู้สึกของคนที่ดี เป็นการกระทําที่ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่การอภิปรายเชิงสร้างสรรค์

นายชาดากล่าวว่า ปากพูดบอกว่าต้องการความสงบ ให้มองตรงกลาง แต่พฤติกรรมไม่ใช่ ตนได้ฟังการอภิปรายอยู่ตลอดเวลา เป็นการกระทําที่เสียหาย แล้วประธานสภาอนุญาตให้นําเสนอเนื้อหาแบบนี้ได้อย่างไร เพราะไม่เกี่ยวกับญัตติในวันนี้ ดังนั้น ประธานสภาต้องมาขอโทษตน เพราะปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและไม่เป็นกลาง ประธานสภาต้องชี้แจงว่าใครเป็นผู้อนุญาต มีสมองใช้วิจารณญานหรือไม่

“ผมเข้าใจความแค้นของท่าน เมื่อวานนี้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผมก็ไม่เคยสร้างความขัดแย้งกับพรรคการเมือง ถือว่านักการเมืองทุกคนมีความคิดต่าง ไม่เป็นไร แต่อย่ามาทํามือถือสาก ปากถือศีล” นายชาดากล่าว

มีขบวนการล้มล้าง

นายชาดากล่าวว่า ถ้าเป็นการแสดงออกด้วยหัวใจของคนไทย ก็ไม่มีปัญหา แต่มันมีขบวนการที่จะล้มล้างบั่นทอนอยู่ในประเทศนี้ อย่าพูดว่าไม่มี ถ้าพูดหรือทํากับตนแบบนี้ ตนก็จะพูดให้หมด ปากบอกว่าสร้างสรรค์ พัฒนา เป็นกลาง แต่สิ่งที่ทํานั้นเลวทรามมาก คุณต้องมีสามัญสํานึกในการกระทํา อย่ามาพูดดูดี แต่ปฏิบัติไม่ดี อย่ามาขัดแย้งและเล่นใต้ดินกับตน

นายชาดาชี้แจงว่า หลังจากที่ตนอภิปรายในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ได้มีคนมากมายมาขอถ่ายรูป ตนก็พร้อมจะถ่ายรูปกับคนที่ปกป้องสถาบัน แต่เขาจะเอาไปทําอะไร ตนไม่ทราบ เพราะไม่เกี่ยว

จากนั้น นายพิเชษฐ์ได้ขอให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์และอยู่ในประเด็น และนายรังสิมันต์กล่าวชี้แจงว่า การที่ที่ตนนำรูปนั้นขึ้นสไลด์ ตนยืนหยัดถูกต้อง เข้าใจว่าต้องมีการพิจารณาตามระบบ เมื่อมีการพิจารณาก็จะเป็นอำนาจของประธานสภาพิจารณาขั้นสุดท้าย โดยทั่วไปการนำรูปถ่ายของรัฐมนตรีต่าง ๆ สามารถขึ้นได้อยู่แล้ว เพราะท่านมีสิทธิชี้แจงในสภา ต้องขอบคุณนายชาดา แต่ตนอยากให้ใจเย็นนิดนึง หากท่านฟังตนอภิปราย หรือแม้กระทั่งการขึ้นรูปประกอบสไลด์

ตนคิดว่าเราก็ไม่ได้ปรักปรำว่าท่านอยู่เบื้องหลัง ไม่มีประโยคใดที่ปรักปรำ แต่สิ่งหนึ่งที่ตนต้องระบุไว้ แน่นอนว่าท่านอาจไม่ได้อยู่เบื้องหลัง ข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในรูป ไม่ได้มาจากนายชาดา แต่เป็นประโยคจากผู้ก่อความรุนแรง และอาจทำให้เขาคิดว่าเขาได้มีคนหนุน ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังเขาเลยก็ได้ และกรณีแบบนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ตนเชื่อว่านักการเมืองถูกโยงไปกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ตลอด ดังนั้น สิ่งที่ตนอยากให้มีคือสติ

จากนั้น นายชาดาได้ลุกขึ้นโต้นายรังสิมันต์อีกครั้งว่า เรื่องนี้การกระทําบ่งบอกเจตนาชัดเจน เป็นการส่อเจตนาที่ไม่ดี สิ่งที่นายรังสิมันต์พูดว่ามีการเชื่อมโยงต่าง ๆ นานานั้นไม่จริง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ว่าอะไรนายรังสิมันต์ เพราะเข้าใจจุดยืน แต่ตนต้องการบอกถึงคนที่พิจารณาเรื่องการนําภาพตนขึ้นฉาย ว่าใข้หลักการอะไรคิด ทั้งที่มีตัวหนังสือระบุถึงญัตติในวันนี้ชัดเจน ตนไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพราะไม่ใช่เรื่องเล็ก

“ผมรู้สึกว่าเจตนาของท่านพยายามเชื่อมโยงว่าตนอยู่เบื้องหลัง จึงขอบอกว่าถ้าตนอยู่เบื้องหลังจริงจะสนุกกว่านี้เยอะ ดังนั้น ขออย่าให้มีพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นในสภาอีก และถือว่าท่านไม่ใช้สติในการพิจารณาการกระทํา” นายชาดากล่าว

ฝ่ายค้านเชื่อทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้น

ต่อมานายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ตนฟังหลายคนอภิปรายก็เห็นว่าจริง ๆ แล้วเรามีความเห็นร่วมกันหลายอย่าง ประการที่ 1.เราเห็นตรงกันว่าการรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประมุขของรัฐ องค์พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประมุขของรัฐต่างประเทศ ผู้นำทางการเมือง หรือแม้แต่บุคคลสาธารณะที่สำคัญนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นหลักปฏิบัติสากล ขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพฯ เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการไปอย่างเหมาะสม ไม่ได้สร้างผลกระทบกับประชาชน

2.เราเห็นตรงกันว่าขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพฯ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการไปอย่างเหมาะสมแล้ว อย่างน้อยก็ในแง่ที่ว่าไม่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนเกินสมควร 3.เราต่างเห็นตรงกันว่า เราไม่อยากจะเห็นเหตุการณ์วันที่ 4 กุมภาพันธ์เกิดขึ้นมาอีก

ไม่ควรผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปสุดขั้ว

นายชัยธวัชกล่าวว่า วันนี้คงไม่ใช่วาระที่เราจะมาพูดกันเรื่องการแก้ปัญหาทางการเมืองโดยละเอียด แต่อย่างน้อยที่เราเรียนรู้ได้จากกรณีคุณตะวัน คือมันต้องมีปัญหาอย่างแน่นอนที่รัฐไทยสามารถทำให้คน ๆ หนึ่งเขาแสดงออกความคิดทางการเมืองด้วยการถือกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วผลักให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนคิดว่าคนไทยจำนวนมากไม่คาดคิดว่ามีใครกล้าทำ มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง

เมื่อประชาชนคนหนึ่งเขาอยากจะพูด แต่เราไม่อยากฟัง เพราะมันไม่น่าฟังและไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน และจะไปปิดปากเขา สุดท้ายเขาก็เลยตัดสินใจที่ตะโกน และก็นำมาสู่สถานการณ์ที่เราไม่พึงปรารถนา ตนคิดว่านี่เป็นบทเรียนที่เราควรพิจารณากันจากนี้ โดยเฉพาะฝ่ายบริหาร

ขณะเดียวกัน ตนคิดว่าคนที่กำลังตะโกนอยู่ก็ควรจะไตร่ตรองว่าวิธีการอะไรที่จะทำให้คนหันมาเปิดใจฟังพวกเรามากขึ้น การตะโกนแล้วไม่มีใครฟังอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่พึ่งปรารถนาเช่นกัน สุดท้ายไม่ว่าจะฝ่ายไหน คิดว่าเราไม่ควรจัดการสถานการณ์ด้วยการผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ไปสุดขั้วไปมากกว่านี้ และนอกจากผมจะเสนอทบทวนกฎหมาย ระเบียบ แบบแผนต่าง ๆ แล้ว คิดว่าสิ่งที่ฝ่ายบริหารทำได้คือ กุศโลบายทางการเมือง ผมเองไม่สบายที่ฝั่งรัฐบาลพูดว่าถ้าไม่สบายใจให้ไปอยู่ประเทศอื่น หนักแผ่นดิน นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้ง นี่ผมยังนึกว่าเราอยู่ในรัฐบาลจากการรัฐประหาร

ใช้กุศโลบายการเมืองแก้ปัญหา

เราเคยมีบทเรียนมาแล้ว ว่าการใช้ความจงรักภักดีมาแบ่งแยกประชาชน สุดท้ายไม่ส่งผลดีกับใครเลย เราเคยผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลามาแล้ว มันสอนเราแล้วว่าสุดท้ายต่อให้เราใช้กำลัง ใช้อาวุธร้ายแรง ยิงเข้าไปสู่ประชาชนที่เราไม่อยากฟัง ฆ่าเขาตายทางการเมือง ลากเขาไปแขวนคอใต้ต้นมะขาม  ตอกอก หรือกล่าวหาผู้คนจำนวนมากว่าเป็นคอมมิวนิสต์

“จนสุดท้ายเขาไม่มีทางเลือกก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์จริง ๆ ในป่า มันไม่ใช่ทางออก สุดท้ายก็ต้องจบด้วยการแก้ไขปัญหาการเมือง นิรโทษกรรม เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์มาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มันก็วนลูบอยู่แบบนี้ ผมหวังว่ารัฐบาล สส.จะมีสติและระงับความโกรธ แล้วใช้กุศโลบายทางการเมืองแก้ปัญหา อย่าผลักใครให้ไปสุดขั้วไปมากกว่านี้ แล้วเพิ่มพื้นที่ตรงกลางให้มากที่สุด เพื่อให้คนเห็นต่างสามารถหาจุดร่วมกันได้ เพื่อให้ประเทศออกจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น” นายชัยธวัชกล่าว

ชาดาย้ำมีบุคคลเบื้องหลัง

นายชาดาใช้สิทธิอภิปรายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีผู้อยู่เบื้องหลัง มอบเงินให้เด็ก บางทีมีต่างชาติไปประกัน กดดันที่โรงพัก ตนเห็นว่าไม่ใช่เกิดจากการกระทำของเด็ก เหตุการณ์นี้เป็นการปะทุครั้งหนึ่ง สิ่งสำคัญคือมันมีเบื้องหลัง มีเงินสนับสนุน ตนไม่อยากพูดว่าจากบางคนหรือบางกลุ่ม จนทำให้ปัญหาไม่จบสิ้น ประเทศอยู่มาได้ไม่เคยมีปัญหาเหล่านี้ และไม่ได้เกิดจากความรู้สึกของคนทั้งชาติ แต่เกิดจากความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามเข้ามาข้องแวะ สร้างความเสื่อมให้กับสถาบัน ถ้าจะเอาพื้นที่พูดคุยต้องมาจากความต้องการของคนไทย แต่นี่ไม่ใช่ และไม่ได้เป็นความรู้สึกของคนที่เข้าใจคำว่าประมุขของประเทศ

”คำถามคือสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากจิตใจของเด็กจริงหรือไม่ หรือเกิดจากการปลุกปั่นยุยงอย่างเป็นกระบวนการ สิ่งนี้เป็นปัญหาที่ต้องคิด และคนไทยต้องคิดด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลังเด็กเหล่านี้ ทำอย่างนี้เพื่ออะไร มันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ แต่เกิดจากบุคคลที่หาเหตุ อยากบอกว่าคำพูดและการกระทำต้องจริงใจ อย่าพูดอย่างทำอย่าง ผมไม่อยากพูดว่ามีเอกสารหลักฐานในมือผมว่าใครสนับสนุนเงินทองบ้าง“ นายชาดาระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นนายชาดาและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้เดินไปพุดคุยกับพรรคก้าวไกลซึ่งมีนายรังสิมันต์ยืนอยู่ด้วย โดยได้ใช้เวลาพูดคุยกันนานประมาณ 5 นาที จากนั้นฝ่ายนายชาดาได้เดินกลับออกมาโดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม

กมธ.มั่นคง ขอหลักฐาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง สส.ที่เข้าชื่อได้อภิปรายครบทุกคนแล้ว นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า หากไม่มีผู้ใดคัดค้าน จะขอส่งเนื้อหาญัตติด่วนด้วยวาจาดังกล่าวให้รัฐบาล และ กมธ.วิสามัญศึกษาการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พิจารณาต่อไป ตามที่เจ้าของญัตติต้องการ

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน เสนอเพิ่มเติมว่า นอกจากส่งเนื้อหาให้รัฐบาลและ กมธ.วิสามัญนิรโทษกรรมแล้ว อยากให้มีการส่งหลักฐานการรับเงินจากขบวนการต่าง ๆ ไปให้รัฐบาลพิจารณาด้วย รวมถึงให้ส่งหลักฐานให้คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ไปพิจารณาอีกทางด้วย เพื่อให้การพิจารณารอบคอบขึ้น ไม่ใช่การใส่ร้ายกันลอย ๆ

ซึ่งนายรังสิมันต์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องความมั่นคง และขอให้นำญัตติดังกล่าวส่งมาให้ กมธ.พิจารณา

ด้านนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย และ รมช. มหาดไทย กล่าวยืนยันว่า มีข้อมูลอยู่ในมือจริง แต่ยังจับไม่ได้ ถึงเวลาดำเนินคดีแน่นอน ถ้าอยากรู้จะบอกว่า เป็นผู้ช่วย สส.คนใด ส่งเงินให้ขบวนการพวกนี้ อย่าให้เฉลย คนอย่างตนถ้าไม่ใช่ความจริงไม่พูด ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน แต่กล้าพูดเป็นเรื่องจริง ไม่ต้องห่วงความจริงต้องเปิดออกมาแน่ ไม่อยากสร้างความขัดแย้ง แต่ท่านเริ่มก่อน

ที่ประชุมมีมติให้ส่งเนื้อหาญัตติและหลักฐานต่าง ๆ ให้รัฐบาล กมธ.วิสามัญศึกษาการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และส่งเอกสารให้ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐพิจารณาต่อไป