ยธ.แจงดีเอสไอ ยังไม่ได้แจ้งข้อหา โอ๊ค พานทองแท้

เมื่อวันที่ 8 กันยายน ผู้สื่ข่าวรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยเผยแพร่เอกสารร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) เพื่อร้องทุกข์คำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่สั่งย้าย พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าสาเหตุที่ถูกสั่งย้ายเป็นเพราะไม่ยอมแจ้งข้อหารับของโจรและฟอกเงินต่อนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่าตรวจสอบแล้วพยานหลักฐานไม่เพียงพอ อีกทั้งคดีได้หมดอายุความแล้ว แต่ข้าราชการระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ยินยอมและสั่งการให้ฟ้องคดีไปก่อน แล้วค่อยให้ผู้ต้องหาแก้ต่างเอาเองนั้น

โดยระบุว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า ข้อเท็จจริงมีสาระสำคัญมูลแห่งเรื่องนี้ เนื่องจากคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติให้รับคดีความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) เป็นคดีพิเศษ ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ร้องขอ โดยรับเป็นคดีพิเศษที่ 36/2550 และมีการสอบสวนเรื่อยมา ซึ่งการสอบสวนดังกล่าวมีการดำเนินการร่วมกันกับพนักงานอัยการ ซึ่งมีความผิดมูลฐานจากกรณีที่ คตส. ดำเนินการและต่อมาส่งมอบให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินคดีกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งปี 2558 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการจึงได้นำผลคำพิพากษาและเส้นทางการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรวบรวมไว้มาเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีพิเศษที่ 36/2550 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว มี พ.ต.ท.สมบูรณ์ฯ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ทางคดีมีการสอบสวนต่อเนื่องมา จนประมาณเดือนตุลาคม 2559 ได้มีการขอโอนย้าย พ.ต.ท.สมบูรณ์ฯไปยังสํานักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีคำสั่งโอนย้ายเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงเข้าทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนแทนเพื่อดำเนินการต่อไป และจากการสอบสวนได้มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวม 13 ราย และสรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ส่งพนักงานอัยการเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560

​ ในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการสอบสวนคดีพิเศษที่ 36/2550 และเป็นเวลาภายหลังจากที่ พ.ต.ท.สมบูรณ์ฯ ได้โอนย้ายไปสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วนั้น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีหนังสือลงวันที่ 22 ธันวาคม 2559 ถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาดำเนินคดี ในส่วนที่เกี่ยวกับนายพานทองแท้ฯ กับพวกรวม 4 คน ในความผิดฐานฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แยกการดำเนินการดังกล่าวเป็นอีกคดีหนึ่งเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อคดีพิเศษที่ 36/2550 ที่สอบสวนใกล้เสร็จสิ้นโดยแยกเป็นสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 25/2560 ซึ่งมีอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนและมีพนักงานอัยการมาสอบสวนร่วมด้วย ปัจจุบันคดียังกล่าวยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและยังมิได้มีการแจ้งข้อหากับผู้ใด เนื่องจากอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและพิจารณาพยานหลักฐานร่วมกันของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ รวมทั้งได้เชิญผู้แทนของสำนักงาน ปปง. มาร่วมหารือและพิจารณาด้วย ซึ่งเป็นการดำเนินการสอบสวนอย่างอิสระในรูปของคณะกรรมการและจะมีมติร่วมกันในการดำเนินการใดๆโดยไม่มีการแทรกแซงจากบุคคลหรือหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น กรณีดังกล่าว จึงไม่สอดคล้องกับข้อร้องเรียนที่ว่ามีการบังคับให้ผู้ใดแจ้งข้อหาต่อนายพานทองแท้ฯ ทั้งนี้คณะพนักงานสอบสวนจะได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตามข้อกล่าวหาและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามบทกฎหมายต่อไป

นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงถึงกรณีจากข่าวที่นำเสนอเกี่ยวกับการกล่าวหาว่ามีการแทรกแซงการดำเนินคดีของดีเอสไอ ว่า กระทรวงยุติธรรมได้ตรวจสอบแล้วว่า การดำเนินคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีกลไกในการดำเนินคดีกำหนดไว้ตามกฎหมาย โดยมีพนักงานอัยการเข้าร่วมทำการสอบสวนกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้คำแนะนำและตรวจสอบทุกคดีจึงเป็นกลไกที่โปร่งใส และไม่สามารถแทรกแซงได้ ซึ่งคดีตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปนั้น ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งมีการดูแลโดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

นายวิศิษฏ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการให้ข่าวของ พ.ต.ท. สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ว่าถูกโอนย้ายเกิดจากการไม่ได้ดำเนินการคดีให้นั้น จึงเป็นการย้ายที่ไม่ชอบนั้น ในเรื่องนี้ พ.ต.ท.สมบูรณ์ฯ ได้โต้แย้งร้องทุกข์ไปยังคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) และปัจจุบัน ก.พ.ค. ได้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยเสร็จสิ้นว่าการโอนย้ายเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ข้อร้องทุกข์ฟังไม่ขึ้น ขณะนี้ พ.ต.ท. สมบูรณ์ ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ด้วยการฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดแล้วเช่นกัน

 

ที่มา มติชนออนไลน์