แม้เวลานี้พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในฝุ่นตลบ หลังเกิดภาวะ “ช็อก” กะทันหันกับการหนีคำพิพากษาคดีปล่อยปละละเลยทุจริตจำนำข้าวของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อชีวิตต้องเดินหน้า และยังหาผู้นำตัวจริงไม่ได้ ทว่า…พรรคเพื่อไทยยังมีภารกิจลงสู้ศึกเลือกตั้งภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกเซตขึ้นมาภายใต้องคาพยพของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
แม้จะเสียเปรียบเต็มประตู แต่ก็ไม่ต้องการตีตราว่าเป็นพรรคที่บอยคอตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจึงเริ่มมีการขยับภายในเพื่อรับศึกเลือกตั้ง
เพราะกติกาเลือกตั้ง ตามสูตรของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” และพวกออกแบบว่ามีบัตรเลือกตั้งใบเดียว และนำคะแนนผู้สมัคร ส.ส.เขต มาคำนวณหา ส.ส.บัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคควรจะได้
เมื่อทุกคะแนนของผู้สมัคร ส.ส.เขต ไม่ว่าสอบตก-สอบได้ แล้วถูกนำมาบวกลบคูณหาร ย่อมกระทบต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งสิ้น เป็นไปตามมาตรา 91 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560
พรรคเพื่อไทยจึงต้องเริ่มจัดกระบวนทัพตั้งแต่เนิ่น ๆ แม้ว่าผู้มีอำนาจยังเล่นลูก “ตีมึน” ว่าปลายทางของการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2561 หรือไม่
กำจัดจุดอ่อนภาคใต้
พรรคเพื่อไทยจึงต้องเริ่มจัดกระบวนทัพในเขตเลือกตั้งที่เป็นจุดอ่อนที่สุด คือเขต 14 จังหวัดภาคใต้ อันเป็นฐานที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์
เพราะในการเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม 2554 เพื่อไทยไม่ได้ ส.ส.เขตในพื้นที่ภาคใต้แม้แต่รายเดียว
ทุกเขตเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยขับเคี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ความต่างของชั้นคะแนนห่างกันระดับหมื่นคะแนน กับระดับพันคะแนน
ส.ส.คนใต้ในพรรคที่ได้โลดแล่นในสภาผู้ทรงเกียรติ อย่าง พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรค จตุพร พรหมพันธุ์ ล้วนแต่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งสิ้น
พรรคเพื่อไทย จึงส่งเสื้อแดงตัวพ่อ อาทิ วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.-ก่อแก้ว พิกุลทอง-วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และอดีต ส.ส.ที่มีฐานอยู่ภาคใต้ ไปเสาะหาคนที่จะมาสมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ขณะที่โซนพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในการดูแล “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” สมาชิกพรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มวาดะห์ เป็นผู้รับผิดชอบ
ภายใต้คอนเซ็ปต์ว่า แม้จะสอบตก-เป็นรองพรรคประชาธิปัตย์ แต่คะแนนผู้สมัครจะต้องให้ได้คะแนนสูงเอาไว้ก่อน
“การเลือกตั้งครั้งที่จะถึง พรรคการเมืองใหญ่คะแนนจะน้อยลง คะแนนพรรคขนาดกลางจะสูงขึ้น ยิ่งระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียวได้ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ การส่งตัวผู้สมัครจะต้องพิถีพิถันมากขึ้น จะไม่ใช่รู้ว่าไม่มีทางชนะพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเอาใครมาสมัครเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เพราะทุกคะแนนในการเลือกตั้งระบบใหม่มีความหมายทั้งสิ้น” แหล่งข่าวกล่าว
นี่จึงเป็นวิธีกำจัดจุดอ่อนในเขตเลือกตั้งที่อ่อนที่สุดคือจังหวัดภาคใต้
อีสานขาย “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”
ขณะที่พื้นที่ “กล่องดวงใจ” ของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่ภาคอีสาน แม้ว่าขณะนี้ยังติด “ล็อก” ทางการเมือง แต่พรรคก็สั่งให้อดีต ส.ส.อีสานเกาะติดพื้นที่เอาไว้ และลงไปพบกับชาวบ้านให้มากที่สุดเหมือนปกติ
เพราะ ณ นาทีนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เดินเกมรุกการเมืองในภาคอีสานอย่างเข้มข้น หวังเอาชนะใจชาวอีสาน พร้อมกับข่าวลือหนาหูว่า คสช.เตรียมดูดตัว ส.ส.เพื่อไทยไปอยู่ในพรรคทหารที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แม้ว่าชื่อของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” 2 พี่น้องอดีตนายกฯ จะติดตรึงใจชาวบ้านมากกว่า พรรคเพื่อไทยก็ไม่อาจประมาทได้
พรรคเพื่อไทยจึงจัดแบ่งโซน อีสานเหนือ-อีสานกลาง-อีสานใต้ จับกลุ่มหารือสรุปงานกันทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อทำการบ้าน-ถกปัญหาในพื้นที่ และจัดอีเวนต์ส่งแกนนำพรรคลงไปคลุกฝุ่นกับชาวบ้าน เพื่อส่งสารของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ไปบอกชาวบ้าน
เช่นช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” แกนนำเพื่อไทย ลงไปเยี่ยมชาวอีสานที่เผชิญน้ำท่วม ก็นำข้อความห่วงใยของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ไปบอกชาวบ้านถึงพื้นที่
“หลังวันที่ 25 ส.ค.ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มาฟังคำพิพากษา ชาวบ้านเป็นห่วง หลังจากมีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ปลอดภัย ชาวบ้านก็โล่งอกแม้จะหนีออกนอกประเทศแต่ก็ดีกว่าถูกจำคุก แสดงว่ากระแส น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังขายได้ในพื้นที่อยู่ แม้ว่าเจ้าตัวไม่อยู่แล้วก็ตาม” แหล่งข่าวอดีต ส.ส.อีสานกล่าว
เหนือ-กลาง ยังเกาะพื้นที่เดิม
ขณะที่ภาคกลาง-ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่หลากหลาย มีหลายพรรคการเมืองเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งคะแนนเสียง ไม่ว่าชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นภาคเหนือ-กลาง จึงเน้นยึดตัวผู้สมัครคนเดิมที่เกาะพื้นที่อย่างเหนียวแน่น
แต่กลุ่มที่เกาะเหนียวแน่นมากที่สุด คือที่มั่นภาคเหนือตอนบนของตระกูลชินวัตร อย่างเชียงใหม่ ของพรรคเพื่อไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังปกคลุมด้วยกลุ่มวังบัวบานแห่งค่ายวงศ์สวัสดิ์
อาจจะมีบางเขตบางพื้นที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้สมัครเนื่องจากเว้นวรรคทางการเมือง โดย คสช.รอบนี้เป็นเวลายาวนาน จึงมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้สมัคร ส.ส.ในบางจังหวัด เพราะกว่า คสช.จะคืนอำนาจ ก็อาจจะส่งไม้ต่อให้คนในครอบครัวสมัคร ส.ส.แทน
รัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรค
อย่างไรก็ตาม การกำหนดยุทธศาสตร์ของพรรค ยังมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ผ่านมาวาระ 3 ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งจะประกาศใช้ในเวลาอันใกล้นี้ที่จะเป็นอุปสรรคสำคัญ
เนื่องจากข้อห้ามในมาตรา 28 และ 29 ที่ห้ามไม่ให้บุคคลซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมทางการเมืองของพรรค หากฝ่าฝืนมีโทษถึงยุบพรรค ดังนั้น หากเดินตามคอนเซ็ปต์ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เข็นนโยบายประชานิยมเหมือนในอดีต จะกลายเป็น “กับดัก” ในอนาคต อาจถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย
แหล่งข่าวคนสำคัญในพรรคเพื่อไทยชี้ว่า การกำหนดนโยบายต่าง ๆ ในพรรคเพื่อไทย ต้องระมัดระวังอย่างสูง เพราะมีกับดักทางการเมืองมากมาย ส่งผลถึงการเลือกผู้นำของพรรค หากจะประคับประคองพรรคให้อยู่รอดปลอดภัย จะต้องคิดกันหลายตลบ เลือกคนที่รอบคอบ รู้กติกา รู้บริบททางการเมือง เพื่อเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด มาเป็นผู้นำพรรค
ปรับโครงสร้างเป็นสถาบัน
ด้าน “ภูมิธรรม เวชยชัย” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ 25 ส.ค. พรรคแสดงท่าทีผ่านแถลงการณ์ของพรรคว่าพรรคสู้มาตลอด ตั้งแต่ปี 2548-2549 จนตอนนี้ผ่านมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ ผู้นำทางการเมืองของพรรคถูกทำลายไปเยอะ แกนนำของพรรคมีคดีความหลายคน แต่ไม่มีปัญหา พรรคเพื่อไทยจะทำงานอยู่ข้างผลประโยชน์ของประชาชน
พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอยู่ และจะมีการปรับปรุงกระบวนการทำงานของพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมือง ให้นักการเมืองร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนฝ่าฟันปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ เพื่อรวบรวมปัญหาของประชาชนนำมาคิดเป็นนโยบายในอนาคต
“เบื้องต้นให้นักการเมืองของพรรคอยู่กับประชาชน ถ้าแนบแน่นเป็นที่พึ่งกับประชาชน กับพื้นที่ ก็ไม่น่าห่วง นอกจากนี้ ไม่เฉพาะพรรคหาบุคลากรที่มีคุณภาพมาเป็นผู้สมัคร ส.ส.เท่านั้น ยังเฝ้าหาบุคลากรที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมงานกับพรรคด้วย และเมื่อมีการผ่อนคลายทางการเมือง พรรคเพื่อไทยจะได้ปรับโครงสร้างพรรคใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับตามกฎหมายใหม่ มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เป็นต้น” นายภูมิธรรมกล่าว
แม้คำตอบเรื่องวันเลือกตั้งจากผู้มีอำนาจในรัฐบาลยังไม่ชัดเจน แต่แกนนำพรรคเพื่อไทย นับไทม์ไลน์กันจนตกผลึกว่า หากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับรัฐธรรมนูญ 2560 ถนนการเมืองทุกเส้นก็จะไปบรรจบที่วันเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2561