เลขาฯพรรคกล้า เชียร์สูตรหาร 500 ฟังธงเลือกตั้งครั้งหน้า รัฐบาลผสม

อรรถวิชช์-เลขาฯพรรคกล้า เชียร์ สูตรหาร 500 ฟันธง เลือกตั้งครั้งหน้าได้รัฐบาลผสม ดักคอเพื่อไทย แตกแบงก์พัน ขัดรัฐธรรมนูญ เชื่อ ไม่มี ส.ส.เขย่ง- ส.ส. 1 คน ต้องได้มากกว่า 7-8 หมื่นเสียง

วันที่ 9 กรกฎาคม 2565 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงระบบเลือกตั้งแบบใหม่ โดยการคิดคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หารด้วย 500 ว่า ขอบคุณ ส.ส. และ ส.ว. ที่โหวตเห็นชอบให้ใช้วิธีการคำนวณจำนวน ส.ส.ด้วยวิธีการหารด้วย 500 ซึ่งพรรคกล้านั้นจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับการหารด้วย 500 ตั้งแต่ต้น เนื่องจากมองว่าการหารด้วย 500 จะทำให้คนรุ่นใหม่ทางการเมือง มีโอกาสเข้าสู่การเมืองได้ ทำให้มีพรรคเฉพาะกิจ เฉพาะด้านเกิดขึ้น ทั้งพรรคด้านเศรษฐกิจ ด้านกีฬา ด้านสิ่งแวดล้อม

“เชื่อว่าในอนาคตจะเป็นรัฐบาลผสมที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเมื่อเข้าไปทำการเมืองจริง จะทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมีการตรวจสอบกันได้จริง ประชาธิปไตยจะมีการพัฒนา แต่หากกลับไปใช้สูตรเดิมที่ผ่านมา ก็ทราบดีว่ามีบทเรียนอะไรเกิดขึ้น ก็จะกลายเป็น ส.ส.ทำการเมืองคล้ายกับนักการเมืองท้องถิ่น ยืนยันว่าพรรคกล้าพร้อมกับกติกาที่จะออกมา และคิดว่าแนวทางนี้น่าจะไปได้ดี ทำให้พรรคสามารถจะเป็นเวทีให้กับคนรุ่นใหม่ได้ ซึ่งภายหลังจากที่มีการประกาศสูตรหาร 500 ก็มีคนสมัครเข้าพรรคเพื่อแสดงเจตจำนงลงสมัคร ส.ส.ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ จำนวนมาก”นายอรรถวิชช์กล่าว

นายอรรถวิชข์กล่าวว่า สูตรหาร 100 เคยเกิดขึ้นแล้ว กลายเป็น ส.ส.ต้องลงไปทำการเมืองคล้ายกับนักการเมืองท้องถิ่น ไม่ใช่การเมืองที่สู้ในระดับชาติ ที่มากกว่านั้นคิดว่าสูตรหาร 500 ไปได้ ทำให้การเมืองเปลี่ยน เราเคยลองมาแล้วทั้งสูตรหาร 100 ทั้งบัตรเลือกตั้งใบเดียวแบบหาร 500 แต่ครั้งนี้เป็นบัตรสองใบหาร 500 ตนคิดว่า คือวิวัฒนาการทางการเมือง

นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่หลายคนที่กังวลเรื่องจะทำให้เกิดพรรคเล็กจำนวนมากแบบที่เคยเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง กำหนดไว้ชัดเจนถึงวิธีของการคำนวณ อ่านและเข้าใจกติกาง่ายกว่า จะไม่เกิดการเขย่งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะมีแนวโน้มว่าเมื่อคำนวณคะแนนเสียงแล้ว จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจะเกินกว่าที่กำหนด ดังนั้นจำนวนคะแนนเสียงต่อ ส.ส. 1 คน อาจต้องใช้มากกว่า 7 หมื่น หรือ 8 หมื่นเสียง ไม่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

นายอรรถวิชช์กล่าวถึงกรณีจะมีการแตกแบงค์พันของพรรคการเมืองบางพรรคว่า เรื่องนี้จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะหากเป็นกรรมการบริหารอยู่พรรคหนึ่ง แล้วไปจัดตั้งพรรคการเมืองอีกพรรค จะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ทั้งนี้ความจริงไม่จำเป็นต้องไปแตกแบงค์พัน เป็นพรรคแบบไหน ก็ต่อสู้แบบนั้น มีโอกาสชนะได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เทคนิค แต่ขอว่าสู้กับอะไร ก็ขอให้มีความชัดเจนของเป้าหมาย ว่าต้องการต่อสู้กับใคร

นายอรรถวิชช์กล่าวว่า แม้จะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ไม่ว่าท้ายที่สุดจะออกมาเป็นสูตรหารด้วย 100 หรือ 500 พรรคกล้าก็พร้อมที่จะสู้เสมอ และย้ำว่าพรรคกล้าและพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ ล้วนตั้งขึ้นมาด้วยสูตรการหาร 500 และเชื่อว่าจะไม่ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เนื่องจากตนและทีมกฎหมายของพรรค อ่านกฎหมายทุกมาตรา และมั่นใจว่าแม้จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยก็ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ