ลอรีอัล หนุนนักวิจัยสตรีไทย โชว์ผลงานขับเคลื่อนประเทศ

ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว-ผศ.ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์-รศ.ดร.พิมพ์ชนก บัวเพชร
ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว-ผศ.ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์-รศ.ดร.พิมพ์ชนก บัวเพชร

โครงการทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” หรือ For Women in Science ริเริ่มในปี 2540 โดยมูลนิธิลอรีอัล ด้วยความร่วมมือจากยูเนสโก (UNESCO) แต่ละปีได้สนับสนุนนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่มากกว่า 250 ท่าน ในโครงการระดับประเทศและระดับภูมิภาคทั่วโลก และได้มอบทุนนักวิจัยสตรีระดับ Laureates ไปแล้วกว่า 120 ท่าน

ในประเทศไทย ลอรีอัลได้ดำเนินการโครงการมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 มอบทุนวิจัยทุนละ 250,000 บาท ให้กับนักวิจัยสตรีที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ใน 2 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ โดยมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 81 ท่าน จาก 20 สถาบัน ล่าสุดปี 2565 ลอรีอัลประกาศรายชื่อ 3 นักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุนในโครงการพร้อมโล่เกียรติคุณ

“แพทริค จีโร” กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ลอรีอัลเป็นบริษัทด้านความงามที่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และมุ่งเสริมสร้างพลังสตรี เพราะเชื่อว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี

โดยเฉพาะในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชีย ที่ผู้หญิงยังคงขาดโอกาสในการศึกษาและการประกอบอาชีพในสายงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM)

“ประเทศไทยนับว่ามีพัฒนาการโดดเด่นด้วยสัดส่วนนักวิจัยหญิงสูงถึง 53% ข้อมูลนี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของความสามารถนักวิจัยสตรีไทยที่ไม่เป็นรองใคร กลุ่มสตรีเหล่านี้เพียงต้องการการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างต่อเนื่องให้มีโอกาสได้นำเสนอผลงานและได้มีพื้นที่ยืนในสายงาน”

อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ
อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ

“อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ” ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า งานวิจัยที่ผ่านการคัดเลือกต้องมีศักยภาพชัดเจนในการสร้างประโยชน์ต่อสังคม มีกระบวนการวิจัยที่เหมาะสม ผ่านเกณฑ์การชี้วัด มีจริยธรรมในการทำงาน และเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิทยาศาสตร์ โดยผู้พิจารณาผลงานคือคณะกรรมการกิตติมศักดิ์กว่า 10 ท่าน

รศ.ดร.พิมพ์ชนก บัวเพชร
รศ.ดร.พิมพ์ชนก บัวเพชร

“รศ.ดร.พิมพ์ชนก บัวเพชร” จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กับงานวิจัยหัวข้อ “การบูรณาการคุณลักษณะทางนิเวศสรีรวิทยาของหญ้าทะเล เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูระบบนิเวศและความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน” กล่าวว่า

ระบบนิเวศหญ้าทะเลเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีบทบาทบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแหล่งหญ้าทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กักเก็บคาร์บอนได้สูงสุด 6.8 เทระกรัมต่อปี คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุดถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ว่าปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ไทยมีโครงการฟื้นฟูหญ้าทะเลมากว่า 20 ปี ก็ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมและติดตามระยะยาวอย่างเป็นระบบ งานวิจัยนี้นับเป็นโครงการแรกในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บูรณาการองค์ความรู้ด้านนิเวศสรีรวิทยาเพื่อเพิ่มความสำเร็จในการฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเล

“ทีมผู้วิจัยเลือกศึกษาพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์และแหล่งหญ้าทะเลที่มีโครงการฟื้นฟู โดยมุ่งเน้นศึกษาหญ้าคาทะเล ซึ่งมีศักยภาพกักเก็บคาร์บอนสูงและเป็นชนิดหลักที่ใช้ฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลในประเทศไทย ผลการศึกษาจากงานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนการฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเล ช่วยระบุสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

รวมถึงปัจจัยคุกคาม นำไปสู่การลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนต่อไป นอกจากนั้นยังเป็นประโยชน์ต่อแวดวงวิชาการระดับนานาชาติ สามารถนำไปต่อยอดการฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่อื่น ๆ ได้เช่นกัน”

ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์
ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์

“ผศ.ดร.กนกวรรณ กองพัฒน์พาณิชย์” จากสำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาวัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ เพื่อการใช้งานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม” กล่าวว่า การปนเปื้อนของโลหะหนักและสารอินทรีย์ที่ระเหยง่าย คือหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ งานวิจัยนี้ศึกษาวิธีดูดซับโลหะหนักที่มักพบปนเปื้อนในแหล่งน้ำ แหล่งปิโตรเลียม และน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม

โดยลงลึกเรื่องการพัฒนาวัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ (metal-organic framework, MOF) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีรูพรุนจากการเชื่อมต่อกันของกลุ่มโลหะ (metal cluster) และโมเลกุลสารอินทรีย์ (organic cluster) ให้สามารถปรับเปลี่ยนส่วนประกอบและโครงสร้างได้หลากหลาย เพื่อควบคุมหรือเพิ่มคุณสมบัติต่าง ๆ ให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมได้

“ทีมผู้วิจัยได้คำนึงถึงประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน จึงเลือกพัฒนาวัสดุ MOF จากพลาสติกที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ พร้อมทั้งพัฒนากระบวนการสังเคราะห์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างองค์ความรู้พื้นฐานใหม่ในประเทศ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ องค์ความรู้เหล่านี้จะสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาวัสดุ MOF สำหรับดูดซับสารชนิดอื่น หรือแม้กระทั่งพัฒนาวัสดุดูดซับชนิดอื่น ๆ ได้”

ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว
ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว

“ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว” จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กับงานวิจัยหัวข้อ “บูรณาการระเบียบวิธีศึกษาทางทฤษฎีเพื่อพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์และวัสดุขั้นสูงสำหรับโรงกลั่นชีวภาพและสิ่งแวดล้อม” กล่าวว่า

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพสูง การผลิตสารเคมีชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มจากชีวมวลและของเหลือใช้ทางการเกษตรในโรงกลั่นชีวภาพ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างมูลค่าให้ทรัพยากรอย่างเต็มศักยภาพ

“งานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นบูรณาการระเบียบวิธีศึกษาทางทฤษฎี เพื่อพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์และวัสดุขั้นสูงที่ราคาเหมาะสม ใน 2 หัวข้อหลัก หนึ่งคือ เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์สารมูลค่าเพิ่มจากชีวมวลในโรงกลั่นชีวภาพ และสองคือ เพื่อใช้ในการบำบัดก๊าซมลพิษ ได้แก่ ก๊าซเรือนกระจก NOx และ CO2 เป็นต้น รวมทั้งการสังเคราะห์สารเคมีมีมูลค่าจากก๊าซดังกล่าว

เพื่อสร้างชุดความรู้ และช่วยร่นเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ทดสอบวัสดุใหม่ ๆ ในห้องปฏิบัติการ ลดความเสี่ยงการสัมผัสสารพิษในห้องปฏิบัติการ สร้างประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโรงกลั่นชีวภาพ และขยายผลต่อยอดอุตสาหกรรมอื่น ๆ”

ทั้งยังสอดคล้องกับแผนและนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศภายใต้โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model)

รวมทั้งอยู่ใต้แพลตฟอร์มตัวเร่งปฏิกิริยาระดับนาโน (Nanocatalysis platform) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (ศน.) มุ่งเน้นและพยายามผลักดันให้เกิดผลผลิตเป็นรูปธรรม โดยมีแผนขยายผลด้วยการศึกษาในระดับโรงงานต้นแบบ เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมต่อไป

นับว่าเป็นโครงการที่เสริมสร้างศักยภาพให้วงการวิทยาศาสตร์ไทย รวมถึงผลักดันให้นักวิจัยสตรีไทยได้มีโอกาสเปล่งประกายบนเวทีโลก