CEO ไร้เดียงสา-เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย จุดชนวน SVB ล้มใน 48 ชม.

SVB
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ

ความสนใจของโลกในเดือนมีนาคม เปลี่ยนโฟกัสความสนใจจากประเด็นที่ว่าการประชุมธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (เฟด) วันที่ 21-22 มีนาคมนี้ จะขึ้นดอกเบี้ยเท่าไหร่ ไปสู่เรื่องใหม่ที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการล้มละลายของธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ หรือ SVB ที่ใช้เวลาเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น ในการทำให้ธนาคารอายุ 40 ปี และมีขนาดใหญ่อันดับ 16 ของสหรัฐ ล้มครืนลงแบบไม่น่าเชื่อ

SVB เป็นธนาคารที่มุ่งเน้นให้บริการลูกค้าที่เป็นกิจการ startup ด้านเทคโนโลยี ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว startup เหล่านี้ได้รับเงินสนับสนุนการลงทุนจากธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ VC (venture capital) ได้ชื่อว่าเป็นธนาคารที่เป็นกระดูกสันหลังสำคัญในการให้บริการ startup ซึ่งปกติแล้วมักไม่ได้รับความสนใจจากธนาคารขนาดใหญ่ดั้งเดิม เนื่องจากถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง

การบูมของธุรกิจเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกกระตุ้นโดยอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในระดับต่ำมาก รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจดิจิทัลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ SVB เติบโตเร็ว เนื่องจาก startup นับพันรายนำเงินมาฝากไว้กับ SVB สินทรัพย์ของธนาคาร (รวมเงินปล่อยกู้) เพิ่มขึ้นเกิน 3 เท่า จาก 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปลายปี 2019 ไปเป็น 2.2 แสนล้านดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม 2022 ส่วนเงินฝากก็เพิ่มขึ้นจาก 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 1.98 แสนล้านดอลลาร์

ที่ผ่านมาในช่วงดอกเบี้ยต่ำมาก SVB ก็ทำเหมือนธนาคารอื่น คือนำเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่สุด แต่ปัญหาเกิดขึ้น เมื่อเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ทำให้มูลค่าพันธบัตรที่ SVB ซื้อไว้ลดลง ขณะเดียวกันการที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น และยากที่จะระดมเงินทุนใหม่ ๆ ทำให้ startup ที่เป็นลูกค้าของ SVB ถอนเงินออกไปเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของบริษัทให้อยู่รอด

ทำให้ SVB ต้องขายพันธบัตรที่ลงทุนไว้ออกไปในราคาขาดทุนเพื่อรองรับการถอนเงินของลูกค้า สุดท้ายนำมาสู่การประกาศเพิ่มทุน 2.25 พันล้านดอลลาร์ ในวันที่ 8 มีนาคม 2023 กลายเป็นต้นตอให้ลูกค้าคนอื่น ๆ แตกตื่น และแห่มาถอนเงินในวันที่ 9 มีนาคม มากถึง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในวันเดียว ซึ่งไม่มีทางที่ SVB จะหาเงินมาให้ได้ทัน จบลงด้วยการถูกทางการเข้าควบคุม

หลังจากนี้ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะมีการสอบสวนหาสาเหตุการล้มละลาย และแน่นอนว่าเกมชี้นิ้วตำหนิว่าเป็นความผิดของใครก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Advertisment

ฟอลวี อดีตพนักงานของ SVB ซึ่งลาออกไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว และปัจจุบันก่อตั้งกองทุนของตัวเองชี้ว่า การเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดของชุมชนนักลงทุนประเภท VC เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ SVB ล้มอย่างกะทันหัน เขาแฉว่าพวกกองทุน VC ใหญ่ ๆ เช่น ยูเนียน สแควร์ เวนเจอร์ และ Coatue Management ได้กระหน่ำส่งอีเมล์ไปถึงบรรดาบริษัท startup ที่พวกเขาร่วมลงทุนอยู่ให้ถอนเงินออกจาก SVB
เพราะกลัวว่าจะเกิด bank run หลังจาก SVB ประกาศเพิ่มทุน นอกจากนี้โซเชียลมีเดียก็ช่วยกระพือข่าวอย่างรวดเร็ว

“สเปนเซอร์ กรีน” นักลงทุน VC รายหนึ่ง ได้ออกมาตำหนิพวก VC รายอื่น ๆ ที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับฐานะของ SVB “สำหรับผมแล้ว SVB ไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง จนกระทั่งมีพวก VC 2-3 ราย ออกมาป่าวประกาศ พวกเขา ไม่มีความรับผิดชอบเลย ตอนนี้พวกเขาก็สมใจอยากแล้ว”

Advertisment

“เจฟฟ์ ซอนเนนเฟลด์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเยล สคูล ออฟแมเนจเมนท์ และ สตีเวน เทียน ผู้อำนวยการวิจัยของสถาบันภาวะผู้นำ กล่าวว่า SVB สมควรถูกตำหนิเรื่องภาวะผู้นำ เพราะมันเหมือนกับว่ามีบางคนจุดไม้ขีดไฟ แล้ว SVB ก็ตะโกนว่าไฟไหม้ แล้วก็ไปกดกริ่งสัญญาณไฟไหม้ เพื่อจะแสดงความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ทั้งที่อันที่จริงแล้ว SVB ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศเพิ่มทุน เพราะมีเงินทุนเพียงพอเกินกว่าที่ทางการกำหนดไว้มาก และที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลยที่จะเปิดเผยว่าขาดทุน 1.8 พันล้านดอลลาร์ จากการขายพันธบัตรไปพร้อม ๆ กัน

ขณะเดียวกัน ทั้งซอนเนนเฟลด์และเทียนระบุว่า เฟดสมควรถูกตำหนิเช่นกัน เพราะการล้มเป็นผลโดยตรงจากการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและสูง

คนวงในของ SVB ชี้ว่า เรื่องนี้เกิดจากความผิดพลาดและไร้เดียงสาของ “เกร็ก เบกเคอร์” ซีอีโอและผู้บริหาร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำผิดทำชั่วแต่อย่างใด “พวกเขาทำผิดพลาด แต่พวกเขาไม่ใช่คนเลว”