‘ดิสนีย์’ จากธุรกิจยุคเก่า สู่ ‘บริษัทเทค’ ด้วย Disney+

“เดอะ วอลต์ ดิสนีย์ คอมพานี” หรือรู้จักกันในชื่อ “วอลต์ ดิสนีย์” บริษัทสื่อความบันเทิงยักษ์ใหญ่ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 โดยปีงบประมาณ 2020 (ต.ค. 2019-ก.ย. 2020) รายได้บริษัทอยู่ที่ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้า 6%

และช่วงไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ 2021 (ต.ค.-ธ.ค. 2020) รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 1.62 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนหน้าถึง 22% รวมทั้งกำไรที่ทรุดหนักถึง 99% เหลือเพียง
29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า รายได้ที่ลดมีผลมาจากการที่ดิสนีย์ต้องปิดบริการสวนสนุก หรือเปิดบริการแต่จำกัดจำนวนคน โดย “ดิสนีย์แลนด์” ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และประเทศฝรั่งเศส ปิดบริการตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ขณะที่สวนสนุกที่รัฐฟลอริดา เซี่ยงไฮ้ ญี่ปุ่น และฮ่องกง เปิดบริการแต่จำกัดจำนวนคน

นอกจากนี้ ดิสนีย์กำลังจะ “ปิดกิจการ” แบบถาวรสำหรับร้านค้าปลีกมากกว่า 60 แห่งที่ตั้งอยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือ หรือคิดเป็น 20% ของร้านค้าดิสนีย์ทั่วโลก

โดยผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้รายได้จากกิจการสวนสนุก และสินค้าช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2020 เหลือเพียง 2.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 61% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน พร้อมกับการเลย์ออฟพนักงานรวม 32,000 คน ตั้งแต่ช่วงที่โรคเริ่มระบาด

ซีเอ็นเอ็นระบุว่า ถึงแม้รายได้และกำไรของดิสนีย์จะลดฮวบ แต่นักลงทุนวอลล์สตรีตยังคงชอบ “ดิสนีย์” เป็นอย่างมาก และมีมุมมองว่า ดิสนีย์ซึ่งก่อตั้งเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว ไม่ใช่บริษัท “โอลด์อีโคโนมี”
หรือเศรษฐกิจแบบเก่าอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “บริษัทเทคโนโลยี” ไปแล้ว

กิจการ “เทคโนโลยี” ของดิสนีย์ ที่กำลังมาแรงอย่างมาก คือ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง “ดิสนีย์พลัส” (Disney+) ซึ่งล่าสุดมียอดสมาชิกทะลุ 100 ล้านคน ภายในเวลาเพียง 16 เดือน ตั้งแต่เริ่มเปิด
ให้บริการ ทั้งที่ตอนแรกตั้งเป้าไว้จะมีผู้ใช้งานราว 60-90 ล้านคน ภายในปี 2024

นักวิเคราะห์มองว่า แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งดิสนีย์พลัสขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนยอดผู้ใช้บริการขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ตามหลังแค่ยักษ์ใหญ่เน็ตฟลิกซ์ เพราะเจาะฐานลูกค้าสาวกแบรนด์ดิสนีย์เดิม นำภาพยนตร์หรือซีรีส์เก่า ๆ ของเครือ “วอลต์ ดิสนีย์” และแบรนด์ของบริษัทอย่าง “มาร์เวล” “พิกซาร์” และ “ลูคัสฟิล์ม” มาลงบนแพลตฟอร์มอีกครั้ง พร้อมกับผลิตซีรีส์ใหม่ ๆ อย่าง “เดอะแมนดาลอเรียน” ซึ่งเป็นซีรีส์คนแสดงชุดแรกของ “สตาร์ วอร์ส” และ “แวนด้าวิชั่น” ซึ่งเป็นที่ยอดฮิตทั่วโลก

“บ็อบ ชาเพ็ก” ซีอีโอของเดอะ วอลต์ ดิสนีย์ กล่าวว่า ความสำเร็จของดิสนีย์พลัสยิ่งทำให้บริษัทเกิดความทะเยอทะยานมากขึ้น โดยวางแผนจะผลิตซีรีส์ และภาพยนตร์อีกกว่า 100 เรื่องต่อปีบนดิสนีย์พลัส

ขณะที่แผนปิดกิจการร้านค้าปลีกบางส่วนของดิสนีย์ ก็เพื่อลงทุนกิจการอีคอมเมิร์ซของบริษัท ซึ่งขณะนี้ดิสนีย์กำลังปรับปรุงเว็บไซต์ “ช็อปดิสนีย์” รองรับพฤติกรรมผู้บริโภค และเพิ่มผลิตภัณฑ์เพื่อขยายตลาดผู้ใหญ่มากขึ้น

“กิจการขายสินค้าผ่านช่องทางเฉพาะที่เป็นของบริษัท ที่เรียกว่า direct-to-consumer จะมาเป็นกิจการสำคัญที่สุด และการพัฒนาคอนเทนต์ใหม่ ๆ จะมาช่วยขับเคลื่อนการขยายกิจการตรงนี้” ชาเพ็กกล่าว

ทำให้ปัจจุบันภาพของ “ดิสนีย์” ได้กลายเป็นเหมือน “บริษัทเทค” ในสายตาของนักลงทุน จากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และการพัฒนากิจการอีคอมเมิร์ซ