ตั้งรับสงครามการค้าโลก

บทบรรณาธิการ

หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% อะลูมิเนียม 10% และตามติดด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนร้อยละ 25 กว่า 1,300 รายการ เมื่อ 22 มีนาคมที่ผ่านมา เรียกว่า เป็นการเปิดฉากสงครามการค้ากับจีนโดยตรงเพื่อหวังลดขาดดุลการค้าจากเหตุผลที่ว่า จีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสหรัฐ

ด้านจีนเองก็ออกมาประกาศตอบโต้ทันที หากเจรจาตกลงกันไม่ได้ จีนก็พร้อมจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 128 รายการ เมื่อ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก เปิดเกมสงครามการค้า แน่นอนว่าทั่วโลกย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ล่าสุดจะมีสัญญาณที่ดีจากการที่ทั้ง 2 ประเทศจะเปิดการเจรจาก็ตาม หรืออีกนัยหนึ่งสงครามการค้าจะยังไม่เกิดขึ้น แต่เพียงแค่ “คำขู่” ก็สร้างความปั่นป่วนทั้งตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลก และฉุดการส่งออก-นำเข้าสินค้าชะงักลงชั่วคราว

สำหรับประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาการส่งออกกว่า 70% ของจีดีพีนั้น หมายถึง จะเกิดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการค้าโลกก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะจีนไม่ใช่แค่ตลาดส่งออกหลักของไทยเท่านั้น แต่ไทยยังเป็นห่วงโซ่การผลิตสำคัญของสินค้าส่งออกจีนไปยังสหรัฐ ดังนั้นการที่สหรัฐประกาศขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนก็ย่อมทำให้ไทยได้รับผลกระทบไปด้วย รวมถึงผลกระทบทางอ้อมจากประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลพวงจากจีนเช่นกัน

ประเด็นข้อเท็จจริงข้างต้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องติดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะรายการสินค้าที่คาดการณ์ว่าจะโดนผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมมีอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการจะได้เตรียมพร้อมตั้งรับและหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

ทว่าสงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจขยายวงกว้างมากกว่าที่คาดคิดนั้น เพราะประธานาธิบดีสหรัฐระบุว่าช่วง 15 วันหลังลงนามกำแพงภาษีสินค้าจีนแล้วก็จะมีการพิจารณาว่า สหรัฐจะใช้มาตรการกำแพงภาษีเพิ่มเติมกับสินค้าและประเทศใดอีกบ้าง

โดยประเทศไทยมีโอกาสติดร่างแห เนื่องจากไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ทำให้รัฐบาลไทยจะต้องทำงานหนักขึ้นไปกว่าเดิม เพื่อให้ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด

อีกด้านรัฐบาลคงต้องให้ความสำคัญกับการเติบโตจากภายในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาลก็คงต้องทำให้เกิดขึ้นจริงตามแผนมากที่สุด เพราะสัญญาณสงครามการค้าที่เกิดขึ้นความหวังที่ตัวเลขส่งออกจะไปถึง 8% ตามเป้าหมายคงยากกว่าที่คิด