Thailand Coffee Fest 2023 สัมผัสเมล็ดกาแฟพิเศษไทย 13-16 ก.ค.นี้

กาแฟ

สัมผัสเมล็ดกาแฟพิเศษไทยที่ชนะรางวัล “Thai Specialty Coffee Awards 2023” ใน “Thailand Coffee Fest 2023” งานของคนรักกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ IMPACT Exhibition Center Hall 5-8 วันที่ 13-16 ก.ค.นี้

วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 สืบเนื่องจาก “Thai Specialty Coffee Awards 2023” การประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยเพื่อค้นหาเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ไทยคุณภาพดีที่สุดประจำปี 2023 ที่จบลงไปเมื่อ 9 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา

สมาคมกาแฟพิเศษไทยชวนคนรักกาแฟและผู้ที่สนใจสัมผัสสุดยอดเมล็ดกาแฟที่ได้รับรางวัลดังกล่าวในงาน “Thailand Coffee Fest 2023 : Good Coffee for Everyone” เทศกาลของคนรักกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จัดร่วมกับ “The Cloud” บนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร ที่ IMPACT Exhibition Center Hall 5-8 ระหว่างวันที่ 13-16 ก.ค. 66

“นางสาวณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์” นายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย กล่าวว่า การประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2013 ภายใต้แนวคิดที่ต้องการชูคุณภาพกาแฟพิเศษไทยให้เป็นที่รู้จักและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก พร้อมผลักดันการให้รางวัลกับเกษตรกรผู้ชนะการแข่งขันทั้งจาก 3 กระบวนการ

กระบวนการผลิตแบบเปียก (Washed Process) เป็นกระบวนการที่ใช้น้ำในการแปรรูปทุกขั้นตอน ซึ่งเมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีความชัดเจนในเรื่องของรสชาติและกลิ่น รสชาติ ที่มีกรดคล้ายผลไม้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีคุณภาพที่สม่ำเสมอและควบคุมการกระบวนการผลิตได้ง่ายรูปแลบการผลิตแบบอื่น ๆ

กระบวนการผลิตแบบแห้ง (Natural Process) เป็นกระบวนการผลิตที่นำผลเชอรี่สุกจัดมาตากประมาณ 15-30 วันให้แห้งจนเนื้อและเปลือกหลุดออกจากเมล็ด เนื่องจากผลิตแบบแห้งทำให้ไม่ถูกน้ำชะล้างสารต่าง ๆ ออกจากเปลือกและเมือกของผลกาแฟ ทำให้เมล็ดกาแฟสามารถดูดซับสารต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ รสชาติจึงออกมาในแนวจัดจ้านและเข้มข้น

สุดท้าย คือ กระบวนการผลิตแบบกึ่งเปียกกึ่งแห้ง (Honey Process) โดยนำผลเชอร์รี่กาแฟแช่น้ำเพื่อทำให้คัดแยกแล้วสีเปลือกออก จากนั้นหมักเมล็ดกาแฟกับเนื้อไว้และนำไปตากจนแห้งโดยที่ไม่ขัดเมือก ทำให้ความหวานของเนื้อกาแฟซึมเข้าสู่เมล็ดและทำให้เกิดกลิ่นคล้ายผลไม้ด้วย

เมล็ดกาแฟจากน่าน คว้า 3 แชมป์

การประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยได้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ความน่าสนใจคือผู้ชนะทั้ง 3 กระบวนการมีแหล่งปลูกกาแฟที่บ้านมณีพฤกษ์ ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน ทั้งหมด ได้แก่ คุณวิชัย กำเนิดมงคล Cupping Score 91.63 (Washed Process), คุณนภาพร กำเนิดมงคล Cupping Score 91.23 (Natural Process) และคุณสรพงษ์ จิรนันทนุกุล Cupping Score 89.42 (Honey Process)

สำหรับเกษตรกรผู้ชนะการแข่งขัน 10 ลำดับแรกจากทั้ง 3 รางวัล มีสิทธิได้เข้ารับการประมูลจากกลุ่มผู้สนใจ ซึ่งมีผู้เข้าประมูลจำนวนมาก แข่งขันราคากันดุเดือดในหลักหมื่นบาทต่อกิโลกรัม ซึ่งมูลค่าสูงที่สุดที่ประมูลได้ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 33,500 บาทต่อกิโลกรัม และมียอดการประมูลรวมกันทั้งสิ้นกว่า 4.46 ล้านบาท

การประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟมีการพัฒนาการองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง หลายรายเริ่มเข้าใจว่ากาแฟที่ดีต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดี ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ ทั้งใส่ใจสายพันธุ์พิเศษ, บำรุงต้น, บำรุงดิน, ใส่ปุ๋ย, ตัดแต่งกิ่ง ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการต่าง ๆ และส่งต่อถึงผู้บริโภค

คุณภาพเมล็ดกาแฟพิเศษไทยสามารถแข่งขันบนเวทีระดับโลกได้อย่างแน่นอน เพราะมีมาตรฐานสูงแต่ความท้าทายคือมีปริมาณผลผลิตค่อนข้างน้อย และเพียงพอต่อการส่งออก ถือเป็นทเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค และหากความนิยมกาแฟสายพันธุ์พิเศษในประเทศสูงขึ้นเท่าใด กาแฟพิเศษไทยก็จะได้รับความนิยมตามไปด้วย

กลุ่มคนต้นน้ำต้องการยกระดับ

นายบริรักษ์ อภิขันติกุล ตัวแทนคณะกรรมการตัดสินการประกวด กล่าวว่า จำนวนเมล็ดกาแฟที่ส่งเข้าประกวดมีจำนวนเกือบ 300 ตัวอย่าง ซึ่งถือว่าน่าแปลกใจ เนื่องจากก่อนการประกวดคณะกรรมการคาดการณ์ว่า เมล็ดกาแฟที่ส่งเข้าประกวดน่าจะลดลง เพราะผลผลิตที่น้อยลงจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนทั่วโลก

แสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนต้นน้ำที่ผลิตเมล็ดกาแฟต้องการยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น แม้จะเจอวิกฤตแต่เกษตรกรก็ยังแบ่งเมล็ดกาแฟเข้าร่วมการประกวดเช่นเดิม นอกจากนี้คะแนนเฉลี่ยของการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟพิเศษไทยยังสูงขึ้นทุกปี โดยปีนี้อยู่ในกลุ่ม Specialty Grade (80 คะแนนขึ้นไป) ซึ่งถือว่าสูงขึ้นมาก


ต้องยอมรับว่า เกษตรกรเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า “กาแฟที่ดี” อีกทั้งกาแฟพิเศษไทยราคาผลผลิตยังสูงขึ้นทุกปี และเป็นอีกวงการที่อยู่รอดแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา นายบริรักษ์กล่าว