BPP ก้าวทันตลาดค้าไฟเสรีสหรัฐฯ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สอดรับเทรนด์พลังงานโลก

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนการผลิตและขายไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาด และเทรนด์พลังงานในอนาคต มาใช้ในกระบวนการต่างๆ

ปัจจัยสู่ความสำเร็จ คือ เทคโนโลยีดิจิทัล

กิรณ ลิมปพยอม หัวเรือใหญ่แห่ง BPP เผยว่า ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจผลิตไฟฟ้าในวันนี้และอนาคตให้ประสบความสำเร็จ คือ เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่ง BPP นำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่มีอยู่ครบวงจรทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)

ตั้งแต่การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ไปจนถึงการขายไฟฟ้าในตลาดค้าส่ง (Wholesale) ตลาดค้าปลีก (Retail) รวมถึงการซื้อ-ขายไฟฟ้า (Power Trading) ทำให้สามารถตอบโจทย์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ มีเสถียรภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบพลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพ (Quality Megawatts) อย่างต่อเนื่อง

โดยตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT ในรัฐเท็กซัสที่มีประชากรราว 30 ล้านคน มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของประชากรที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามา รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี เพื่อยกระดับการให้บริการให้ตอบโจทย์ความต้องการ

รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูกค้า ส่งผลให้สามารถขยายฐานลูกค้า เพิ่มปริมาณขายไฟฟ้า และสร้างกำไรในอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ที่มีศักยภาพ และความแม่นยำ มาใช้ในการจัดเก็บ วิเคราะห์ และบริหารจัดการข้อมูลของลูกค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการทำการตลาดกับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

“BPP พร้อมผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยควบคู่กับการพัฒนาคน ครอบคลุมประเทศยุทธศาสตร์ทั้งหมดของบริษัทฯ โดยเราสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันภายใน BPP Ecosystem เช่น จีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ด้วยการแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในประเทศที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวหน้า เพื่อผนึกกำลัง และเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจของ BPP ให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเทรนด์พลังงานแห่งอนาคต” กิรณ กล่าว

วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าด้วย AI ตอบโจทย์สู่ความสำเร็จ

พรประนด ดิษยบุตร์ Chief Executive Officer – BPPUS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BPP กล่าวเสริมว่า นอกจาก BPP จะใช้ซอฟต์แวร์จำนวนมากในการจัดเก็บ และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณไฟฟ้าในตลาด (Power Supply) ในอนาคต เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายไฟฟ้าอย่างรวดเร็วแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เรายังพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ โดยนำเทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของลูกค้า เพื่อออกแบบแพ็คเกจบริการต่างๆ ในราคาที่เหมาะสม และสามารถแข่งขันได้ รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าแต่ละราย

รวมทั้งนำข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะจากโซเชียลมีเดียและดิจิทัลมีเดียมาประมวลผล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พัฒนากิจกรรมทางการตลาดให้น่าสนใจและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายในอนาคตอีกด้วย

นอกจากการนำเทคโนโลยีมาช่วยในตลาดซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ก็มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยทั้งในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ของ BPP ในสหรัฐฯ สามารถปฏิบัติงานผ่านระบบดิจิทัลที่ทันสมัย

ด้วยเหตุนี้จึงปรับระดับกำลังผลิตไฟฟ้าได้อย่างยืดหยุ่นภายในระยะเวลาอันสั้น สามารถส่งมอบไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น

รวมถึงนำระบบซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ที่สามารถบันทึก ตรวจสอบ และควบคุมการปล่อยมลสารของโรงไฟฟ้าได้ดีกว่าที่มาตรฐานกำหนด และใช้เทคโนโลยี Combined Cycle Gas Turbines (CCGT) ที่ผสมผสานกระบวนการทำงานของกังหันก๊าซ (Gas Turbine) กับกังหันไอน้ำ (Steam Turbine) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงร้อยละ 50

“โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งของ BPP ตอบโจทย์การสร้างเสถียรภาพในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในระบบด้วยความสามารถในการปรับตัวตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า และร่วมสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม” พรประนดกล่าว

BPP