ม.หอการค้าไทย หั่นคาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 เหลือ 2.6% 

ม.หอการค้าไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2567 เหลือ 2.6% จากเดิมขยายตัว 3.2% เหตุเบิกจ่ายงบฯช้า ลงทุนเอกชนชะลอตัว ชี้รัฐต้องเร่งหลังงบประมาณอนุมัติผ่าน

วันที่ 19 มีนาคม 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ม.หอการค้าไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ลงเหลือ 2.6% จากเดิมขยายตัว 3.2% สาเหตุจากปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาด การอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการมีแนวโน้มชะลอตัว การเบิกจ่ายงบประมาณทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน ต่ำกว่าที่คาดไว้

สำหรับการคาดการณ์ส่งออกปี 2567 จะขยายตัว 2.8% จากเดิมที่คาด 3.0% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1% จากเดิมที่คาด 2.0% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยทั้งปีคาดอยู่ที่ 35 ล้านคน รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.61 ล้านล้านบาท จากเดิมที่คาด 1.48 ล้านล้านบาท

4 ปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ได้แก่

  1. ภาคการผลิต ที่มีแนวโน้มจะสะสมสินค้าคงคลังเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
  2. นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือนประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
  3. การบริโภคภาคเอกชน ยังเป็น Key Driver ที่ช่วยประคองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
  4. การส่งออกสินค้า สามารถพลิกกลับมาเป็น Key Driver ของเศรษฐกิจไทยได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีโอกาสโต 3.1% ได้หากรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และสามารถอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนได้มากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ใกล้เคียง 3% มากขึ้น แต่ที่สำคัญคือ โครงการดิจิทัลวอลเลต ถ้ากู้เงินไม่ได้ และใช้งบฯกลางเข้ามาในปลายไตรมาส 3 ส่วนหนึ่ง ก็อาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และถ้าใช้เงินงบประมาณตามกรอบในไตรมาส 3 และ 4 ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยโต 3.1-3.5%

ม.หอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจรายไตรมาส

เศรษฐกิจไตรมาส 1/2567 ยังอยู่ในภาวะซบเซา คาดว่าจะขยายตัว 2% มีเพียงภาคการผลิต การส่งออก และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง 

เศรษฐกิจไตรมาส 2/2567 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว อยู่ที่ 2.5% จากผลของการเริ่มต้นเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 รวมทั้งยังมีแรงส่งจากภาคการผลิต/การส่งออก และนักท่องเที่ยวต่างชาติ

เศรษฐกิจไตรมาส 3/2567 เศรษฐกิจไทยเริ่มขยายตัวได้ชัดเจนขึ้น คาดว่าจะอยู่ที่ 3.1% ซึ่งเป็นผลจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี’67 และการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการผลิต/การส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนไตรมาส 4/67 เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ 2.8%

ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

อย่างไรก็ดี ปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ได้กดดันให้ยอดหนี้เสียมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินปฏิเสธการให้สินเชื่อ

“คาดว่าครึ่งปีแรก GDP จะขยายตัวได้ 2.3% ส่วนครึ่งปีหลัง ขยายตัวได้ 2.9% เมื่อเฉลี่ยทั้งปีแล้ว จะขยายตัวได้ 2.6%” 

นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงกลางปี 2567 นี้ และขยายตัวกว่าที่คาด หลังจากเริ่มมีการใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีเม็ดเงินลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการเร่งรัดงบฯรายจ่ายลงทุน ประกอบกับการส่งออก และการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น ก็จะทำให้การบริโภคภาคเอกชนค่อยปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งเม็ดเงินจากโครงการดิจิทัลวอลเลตที่หากเกิดขึ้นได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งขึ้น และน่าจะได้เห็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย

6 โอกาสพาเศรษฐกิจไทยฟื้น

ม.หอการค้าไทยคาดการณ์ว่า โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากกว่า 3% รัฐบาลสามารถใช้เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจโตได้เกิน 3% มีดังนี้

  1. การเร่งรัดเบิกจ่ายงบฯรายจ่ายประจำ (ทุก 1 แสนล้านบาท ของการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของรัฐบาล จะช่วยหนุน GDP จะมีผลให้ 0.52%) ซึ่งรัฐบาลสามารถตัดสินใจดำเนินการได้ทันที หาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี’67 มีผลบังคับใช้ แต่มี Gap ให้ทำได้อีกไม่มากนัก
  2. การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบฯรายจ่ายลงทุน (ทุก 1 แสนล้านบาท ของการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐ จะช่วยหนุน GDP จะมีผลให้ 0.68%) ซึ่งรัฐบาลสามารถตัดสินใจดำเนินการได้ทันที หาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี’67 มีผลบังคับใช้ แต่อาจจะเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
  3. มาตรการการคลังผ่านการโอนเงิน เช่น ดิจิทัลวอลเลต (ทุก 1 แสนล้านบาท ของเงินที่โอนให้กลุ่มเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภค จะช่วยหนุน GDP จะมีผลให้ 0.26%) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แต่หากต้องการให้เกิดผลในวงกว้าง จำเป็นต้องใช้วงเงินสูง และยังมีกระบวนการทางกฎหมายหลายขั้นตอน ทำให้ต้องใช้เวลาอนุมัตินาน
  4. การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น วีซ่าฟรี (จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุก 1 ล้านคน จะมีผลให้ GDP โตเพิ่ม 0.26%) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลที่ยั่งยืน และเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ในระยะเวลาสั้น ๆ อาจยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  5. การเพิ่มรายได้จากการส่งออก (ทุก 1 แสนล้านบาท ของรายได้จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น จะมีผลให้ GDP โตเพิ่ม 0.60%) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลที่ยั่งยืน และเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ แต่อาจยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นกัน
  6. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ทุก 0.25% ของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จะมีผลให้ GDP โตเพิ่ม 0.12%) ก่อให้เกิดผลในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ไม่ยั่งยืน ซึ่งมี Policy Space ให้ทำได้อีกไม่มากนัก และการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล