องค์กรผู้บริโภคเตือนคนกินสังเกตอาการข้างเคียง กัญชา

กัญชา
Photo : Pixabay

องค์กรผู้บริโภค เสนอ อย. ออกฉลากแสดงปริมาณกัญชาในอาหาร พร้อมประกาศควบคุมโฆษณาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ใช้ส่วนประกอบของกัญชา ขณะที่รัฐบูรณาการทุกภาคส่วนในช่วงรอยต่อจนกว่า สภาฯ จะออกกฎหมาย มาบังคับใช้

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 รายงานข่าวระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 คนไทยจะสามารถ “ปลูก กัญชา” กันได้แล้ว เพียงแค่ “จดแจ้ง” ใน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1.แอปพลิเคชั่น “ปลูกกัญ“ 2.เว็บไซต์ “ปลูกกัญ” 3.สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.), องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กทม.เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการจดแจ้งตามช่องทางต่าง ๆ

มาตรการนี้เป็นนโยบาย “กัญชาเสรีทางการแพทย์” ของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข โดยคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงประกาศ “ปลดล็อก” เฉพาะ “ส่วนประกอบของกัญชา” ออกจาก “ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 5“ เป้าหมายคือ ต้องการส่งเสริมให้ปลูกเพื่อสุขภาพและการรักษาโรค อนุญาตให้นำไปเป็นส่วนประกอบในอาหาร-เครื่องดื่ม

อย่างไรก็ตาม “ดอก” และ “ใบรองดอก” ยังเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังสูง เพราะมีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท กล่าวคือ เป็นสารสกัดที่มีค่า “สารเมา” หรือ “เตตระไฮโดรแคนนาบินอล“ (tetrahydrocannabinol, THC) มากกว่า 0.2% ดังนั้น การนำ “ส่วนประกอบของกัญชา” มาใช้ ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ

รศ.ดร.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์ กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่าเรื่องนี้ต้องมีการติดตามผลกระทบกันต่อไป เนื่องจากเป็นการใช้ในชีวิตประจำวัน ที่เข้าถึงได้ง่ายในกรณีของการผสมในเครื่องสำอางยังอนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอกเท่านั้น รวมทั้งการกำหนดปริมาณสารเมาหรือเตตระไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ทั้งเครื่องสำอางและอาหารพร้อมรับประทาน สามารถขออนุญาตผลิตได้โดยการขอจดแจ้ง

ส่วนอาหารที่ปรุงขายทั่วไปสามารถทำได้เลย เพียงแต่ต้องมีที่มาของกัญชาที่ถูกต้องตามกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาตรวจสอบอยู่เสมอทั้งแหล่งที่มาและการปนเปื้อนสารอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย อย่างโลหะหนัก เช่น สารหนู ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม

นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า เป็นห่วงผู้บริโภคเพราะธุรกิจอาหารที่นำ “ส่วนประกอบของกัญชา” มาประกอบอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการโฆษณายังไม่มีการควบคุม ดังนั้น หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องออกมาตรการควบคุม เช่น “ฉลาก” และการโฆษณาเพื่อกำหนดบทลงโทษผู้ประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตาม

โดยประกาศต้องระบุ “ปริมาณการควบคุม” “อายุของผู้ใช้ เพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ที่สำคัญ “ฉลากอาหาร” ต้องแสดงอัตราการใช้กัญชา รวมถึงคำเตือนในผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค

อีกทั้งยังทำให้ผู้ประกอบการเกิดการแข่งขันกันเองด้วย ฉะนั้น “ฉลาก” ควรกำหนดให้ระบุข้อมูล คำเตือนและข้อห้าม การแจ้งปริมาณอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย เช่น การห้ามใช้ในเด็ก สตรีมีครรภ์ เป็นต้น รวมทั้งจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นชัดเจน ตัวอักษรมีขนาดให้อ่านได้ไม่ยาก “การโฆษณา” ผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะการโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่ส่งต่อกันได้อย่างรวดเร็ว อาจมีข้อความที่โฆษณาเกินจริงและจูงใจให้บริโภคเกินความจำเป็น ดังเห็นจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากกัญชาที่พบว่ามีการโฆษณาบนสื่อออนไลน์แล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับอนุญาต จึงมีคำถามว่า แล้วหน่วยงานที่รับผิดชอบจะกำกับติดตามอย่างไรให้ทันท่วงที

นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย แสดงความกังวลต่อส่วนผสมของกัญชา ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับ “กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง” อาจได้รับผลกระทบจากการรับประทานอาหารและ เครื่องดื่มที่ผสมกัญชา โดยผลการศึกษาของวารสารทางการแพทย์แคนาดารายงานอย่างชัดเจนว่า “เด็ก และ ผู้สูงอายุ” เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ที่จริงคนทุกกลุ่มวัยก็ต้องระวังเช่นกัน

โดยปัจจัยที่มีผลได้แก่ เพศ น้ำหนัก อาหารที่บริโภค เพราะแต่ละคนจะมีความไวต่อสารในกัญชาไม่เท่ากัน แม้ว่า “ใบ” จะมี “สารเมา” ต่ำ แต่ก็ต้องระมัดระวัง โดยการออกฤทธิ์ต่อร่างกาย จะใช้เวลา 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง จากนั้นระดับความเข้มข้นของกัญชาในกระแสเลือด จะค่อย ๆ เพิ่มจนถึง “ขีดสูงสุด “โดยจะคงอยู่ในสภาพนั้น 2-3 ชั่วโมง หรือเกือบตลอดทั้งวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการบริโภค “กัญชา” ในอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งจากอาหารปรุงสด, อาหารบรรจุสำเร็จ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ อย.ควบคุม

เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า “ใบกัญชา “ ไม่ใช่พืชผักสวนครัวทั่วไป ก็ควรระวังในการบริโภค และอย่าไปเชื่อคำกล่าวอ้างของผู้ประกอบการที่พยายาม “เชิดชู ให้ กัญชา เป็นพืชหรืออาหารวิเศษ” ที่จำเป็นต่อร่างกาย หลังปลดล็อกคือช่วงสุญญากาศ เหมือนว่ารัฐบาล หน่วยงานรัฐ ปล่อยให้ความรับผิดชอบเป็นของสังคม ครอบครัว ชุมชน ต้องเฝ้าระวังและแก้ปัญหาเอง ยังไม่มีกฎหมาย กลไกหรือหน่วยงานใดที่จะมารับผิดชอบโดยตรง

ส่วนภาครัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีบอกว่า ถึงแม้รัฐบาลปลดล็อกให้ปลูกกัญชาโดยถูกกฎหมาย แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้เสรี 100% เพราะพิษภัยของกัญชายังมีอยู่ และยังมีพฤติกรรมในบางเรื่องที่รัฐบาลจำเป็นต้องควบคุม อาทิ “ การสูบ “ ต้องไม่ก่อให้เกิดความรำคาญกับผู้อื่น หรือสูบแล้วขับรถอาจจะผิดกฎหมายเหมือนดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามจำหน่ายแก่เด็ก จำเป็นต้องควบคุมการจำหน่าย หรือการผลิตจำหน่ายต้องเสียภาษี ฯลฯ

โดยในส่วนนี้จะมีกฎหมายใหม่ กำหนดรายละเอียดต่อไประหว่างนี้ อยู่ระหว่างการนำเสนอ “ร่างพระราชบัญญัติกัญชา” ต่อสภา โดยต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 9 มิถุนายน ไปจนถึงวันที่มีกฎหมายบังคับใช้รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการบูรณาการพืชกัญชา-กัญชง โดยมีฝ่ายต่าง ๆ ที่ร่วมเกี่ยวข้อง

อาทิ กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงยุติธรรม, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, ตำรวจ, นักวิชาการและภาคประชาชน เพื่อกำกับดูแลในช่วงรอยต่อนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมกับการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ตลอดจนรับเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ และเรื่องที่อาจจะเป็นปัญหาจากความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันด้วย