จังหวะลงทุน “ตราสารหนี้” เมื่อดอกเบี้ยเฟดจบวัฏจักรขาขึ้น

จังหวะลงทุน ‘ตราสารหนี้’

“ตราสารหนี้” กลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนมากขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 2566 จากทิศทางดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ใกล้จบรอบ “ขาขึ้น” และมีโอกาสปรับลดลงในปีหน้า

โดยข้อมูลจาก “บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)” ชี้ว่า ในปีนี้ ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากที่แย่ในปีที่แล้ว และคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา น่าจะเป็นรอสุดท้าย และตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไป

คาดว่าแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (บอนด์ยีลด์) มีแนวโน้มปรับลดลง โดยเฉพาะในปี 2567-2568 ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดี จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับลดลง

ส่วนอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะสั้นในปัจจุบันที่อยู่สูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาวนั้น (inverted yield curve) คาดว่าจากนี้จะปรับลดลงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากการที่นักลงทุนรับรู้และสะท้อนต่อนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟด จะปรับลงเฉลี่ยเหลือ 4.15% และ 2.15% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ

“มอร์นิ่งสตาร์ฯ” ชี้ว่า ครึ่งปีหลังควรเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว โดยอัตราผลตอบแทนระยะยาวในปัจจุบันคาดว่าอยู่ในระดับสูงสุด หรือเข้าใกล้ระดับที่สูงที่สุดแล้ว และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงในอีก 6-18 เดือนข้างหน้า ดังนั้นการลงทุนในตราสารที่มีช่วงเวลา (duration) ยาวขึ้น น่าจะเป็นจุดที่เหมาะสมในขณะนี้

สำหรับผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีที่ผ่านมา ของกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (short term bond) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 0.98% สูงสุด คือกองทุน KACB จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย ที่ 1.64% ส่วนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว (mid/long term bond) ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 0.91% สูงสุด คือกองทุน KPVDFI จาก บลจ.กสิกรไทย เช่นกันที่ 1.85% (ดูตาราง)

ตาราง จังหวะลงทุน ตราสารหนี้

“วีระ วุฒิคงศิริกูล” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า เฟดอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยสูงมากแล้ว ถ้าหากเศรษฐกิจโตช้า รัฐบาลสหรัฐก็จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยตอนนี้ใกล้จุดสูงสุดมากเต็มที ก่อนที่จะปรับตัวลงปีหน้า

ดังนั้นปีนี้จึงกลายเป็นโอกาสในการลงทุนตราสารหนี้ แต่ต้องเป็นตราสารหนี้ที่ต้องถือยาว แตกต่างจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่จะเเนะนำให้ลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นมากกว่า เพราะเป็นช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังถูกปรับขึ้น

“ปัจจุบันจากที่มองว่าดอกเบี้ยปรับขึ้นมาจนใกล้พีกและมีโอกาสปรับลดลง ก็จะแนะนำว่าควรลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวมากกว่า ทั้งนี้ แต่เดิมตลาดตราสารหนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อ เป็นการลงทุนที่เหมือนเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน แต่ตอนนี้เชื่อว่าการลงทุนตราสารหนี้จะดูดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวจะเป็นจุดที่น่าสนใจในครึ่งปีหลังนี้ และแนะนำนักลงทุนควรมีสะสมไว้ในพอร์ต”

“สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ (TISCOASSET) กล่าวว่า ดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบทศวรรษ โดยเฉพาะสหรัฐที่เคยขึ้นดอกเบี้ยรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้บอนด์กลายเป็นสินทรัพย์มีความ
น่าสนใจมากขึ้น โดยบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 4% ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจลงทุน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ

“อีกทั้งในอนาคตนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าหลังจากนี้เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ย และมีโอกาสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2567 หลังแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อที่บรรเทาลงอย่างต่อเนื่อง 
ซึ่งจะทำให้นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนต่อที่สอง จากราคาตราสารหนี้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย”

ด้าน “สิทธา เซ่งไพเราะ” Associate Director, ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กล่าวว่า การลงทุนในตราสารหนี้ มีความน่าสนใจมากพอสมควร โดย earning yield gap 
ของ S&P500 อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี แสดงถึงความน่าสนใจในการลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ

นอกจากนี้ สถิติ 3 รอบในอดีตที่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นสิ้นสุดลงและเศรษฐกิจยังไม่ถดถอย กลุ่มตราสารหนี้โลกจะปรับตัวขึ้นได้ดีทั้ง 3 ครั้ง และจากการที่ระดับดอกเบี้ยตราสารหนี้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนทั้งในสหรัฐและในตลาดเกิดใหม่ อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปี ทำให้นักลงทุนเข้ามาสะสมเพื่อรอรับดอกเบี้ยระยะยาวมากขึ้น

“จากเหตุผลเหล่านี้จะหนุนให้เกิดการสับเปลี่ยนเงินทุนบางส่วนไหลออกจากตลาดหุ้นเข้ามาที่ตลาดตราสารหนี้มากขึ้นในระยะถัดไป และจากการที่ดอกเบี้ยใกล้พีกหรือใกล้ที่จะถึงจุดสิ้นสุด ฉะนั้นราคาหรือผลตอบแทนน่าจะเริ่มมีความคงที่มากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ตราสารหนี้น่าสนใจมากขึ้นในระยะยาว”

จากภาพทั้งหมดนี้ ช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมตราสารหนี้ไว้ในพอร์ต โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะยาว