“อาคม” ไม่ถอย ยันเก็บภาษีขายหุ้นภายในปีนี้ คิดจากยอดขาย 0.10%

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

รมว.คลังลุยเก็บภาษีขายหุ้นภายในปีนี้ ชี้สร้างความเท่าเทียม เก็บจากธุรกรรมการขาย 0.10% หลังเว้นมานานกว่า 30 ปี คาดหนุนรายได้เข้ารัฐหลักหมื่นล้านบาท

วันที่ 12 เมษายน 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีแผนที่จะเดินหน้าจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น หรือ Financial Transaction Tax ภายในปี 2565 นี้ เนื่องจากเห็นว่าในช่วงที่เกิดวิกฤต ตลาดหุ้นไทยก็ผันผวนไปตามเหตุการณ์ภายนอก ซึ่งไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายในประเทศเลย

ดังนั้น หากภาครัฐจะเข้าจัดเก็บภาษีดังกล่าว ก็ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสม หลังจากที่มีการยกเว้นมานานกว่า 30 ปี โดยจะยึดแนวทางเก็บภาษีตามหลักการเดิม คือ เก็บจากยอดธุรกรรมการขายในอัตรา 0.10%

“หลักการเก็บจะยึดตามเดิม ถ้าเราแยกจะยุ่งยากเรื่องการบริหาร เช่น ถ้าเราบอกว่า ถ้ายอดขายหุ้น 1 ล้านบาท เราจะเก็บในอัตราต่ำกว่าคนที่มียอดขายสูงกว่า 1 ล้านบาทก็ยุ่งยาก ซึ่งในกฎหมายที่ออกมาจะเก็บแบบเท่าเทียมกัน คือ เก็บจากภาษีการขาย ไม่แยกว่า จะเป็นรายเล็กหรือรายน้อย ซึ่งง่ายสุด คือ เก็บเท่ากันหมด ประเทศต่างๆ ก็ไม่แยกแยะการขาย และจะมีการจัดเก็บเป็นรายเดือน ซึ่งโบรกเกอร์จะเป็นผู้ส่งยอดมาให้กรมสรรพากร”

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะดำเนินการเก็บภาษีดังกล่าว กระทรวงการคลังจะมีการแจ้งให้ตลาดรับทราบเป็นการล่วงหน้า ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้ทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนแล้ว เนื่องจากเป็นภาษีเดิม ไม่ใช่ภาษีตัวใหม่ ขณะนี้ ก็เข้าใจตรงกันแล้ว ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวหลักหมื่นล้านบาทต่อปี โดยกระทรวงการคลังจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป

“เราหารือกับตลาดมาตลอดเกี่ยวกับเรื่องการเก็บภาษีขายหุ้น ซึ่งตอนแรกตลาดไม่รับเลย แต่ตอนหลังก็เข้าใจ เพราะถ้าโดนเก็บ Capital gain จะโดนหนักกว่านี้ ซึ่งปีนี้จะเห็นการเก็บภาษีการขายหุ้นแน่นอน หลังจากที่เราได้ยกเว้นมานานกว่า 30 ปีแล้ว ถามว่า ตอนนี้ ตลาดหุ้นโตขึ้นหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า โตขึ้น ขณะที่ภาครัฐยังแบกรับภาระให้ ซึ่งการช่วยเหลือก็ต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน เหมือนตอนที่เราส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ เมื่อถึงเวลาที่เติบโต เขาก็ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล”

ขณะที่แนวโน้มการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2565 นั้น ไม่น่าจะมีปัญหา โดยกระทรวงการคลังได้เพิ่มเป้าหมายการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจเพิ่มอีก 5% ขณะเดียวกัน หลังกระทรวงการคลังกำหนดให้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มธุรกิจอีเซอร์วิสจากแพลตฟอร์มต่างประเทศ ขณะนี้ก็มีรายได้เข้ามาเกินเป้าหมาย

ส่วนการจัดเก็บภาษีตัวใหม่อื่น ๆ นั้น ขณะนี้กระทรวงการคลังยังไม่มีแผนที่จะจัดเก็บภาษีตัวใหม่ อย่างไรก็ดี ยังมีภาษีที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น ภาษีโซเดียม ซึ่งทางกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงสาธารณสุข