เปิดส่วนแบ่งตลาดแพลตฟอร์ม “อีคอมเมิร์ซ” ใน 6 ประเทศอาเซียน พบ “Shopee” โกยยอดขายอู้ฟู่ ครองอันดับหนึ่งในทุกประเทศ
วันที่ 15 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากความเคลื่อนไหวล่าสุดในแวดวงอีคอมเมิร์ซที่ “ลาซาด้า” (Lazada) ตัดสินใจปลดพนักงานทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
น่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สะท้อนถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจที่พยายามหาทางสร้างผลกำไรมากขึ้น และภาพการแข่งขันของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคที่ส่อแววความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่ผ่านมา
รายงาน Ecommerce in Southeast Asia 2023 ของ Momentum Works บริษัทให้คำปรึกษาทางธุรกิจในสิงคโปร์ ระบุว่า ยอดขายสินค้าโดยรวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2565 มีมูลค่าอยู่ที่ 9.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โตจากปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาดราว 1.8 เท่า
โดยมี “ช้อปปี้” (Shopee) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากยักษ์เทคสัญชาติสิงคโปร์อย่าง “Sea Group” ครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งที่ 4.79 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย Lazada 2.01 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ, Tokopedia แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และแพลตฟอร์มอื่น ๆ อีก 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
และเมื่อจำแนกภาพการแข่งขันในปี 2565 เป็นรายประเทศ จะพบว่ามีรายละเอียดดังนี้
ไทย
มูลค่ายอดขายสินค้าโดยรวมอยู่ที่ 1.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มครองส่วนแบ่งตลาดดังนี้
- Shopee 56%
- Lazada 40%
- TikTok Shop 4%
อินโดนีเซีย
มูลค่ายอดขายสินค้าโดยรวมอยู่ที่ 5.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มครองส่วนแบ่งตลาดดังนี้
- Shopee 36%
- Tokopedia 35%
- Lazada 10%
- Bukalapak 10%
- TikTok Shop 5%
- Blibli 4%
ฟิลิปปินส์
มูลค่ายอดขายสินค้าโดยรวมอยู่ที่ 1.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มครองส่วนแบ่งตลาดดังนี้
- Shopee 60%
- Lazada 36%
- TikTok Shop 4%
เวียดนาม
มูลค่ายอดขายสินค้าโดยรวมอยู่ที่ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มครองส่วนแบ่งตลาดดังนี้
- Shopee 63%
- Lazada 23%
- Tiki.VN 6%
- TikTok Shop 4%
- Sendo 4%
มาเลเซีย
มูลค่ายอดขายสินค้าโดยรวมอยู่ที่ 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มครองส่วนแบ่งตลาดดังนี้
- Shopee 78%
- Lazada 19%
- TikTok Shop 3%
สิงคโปร์
มูลค่ายอดขายสินค้าโดยรวมอยู่ที่ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มครองส่วนแบ่งตลาดดังนี้
- Shopee 53%
- Lazada 35%
- Amazon Singapore 11%
- TikTok Shop 1%
จากการจำแนกภาพการแข่งขันรายประเทศ จะพบว่า Shopee ครองส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งในทุกประเทศ ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามดูจะมีความพิเศษกว่าประเทศอื่นเล็กน้อย เนื่องจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในท้องถิ่นยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ โดยแพลตฟอร์มท้องถิ่นของอินโดนีเซีย (Tokopedia, Bukalapak และ Blibli) ครองส่วนแบ่งรวมกัน 49% ส่วนของเวียดนาม (Tiki.VN และ Sendo) ครองส่วนแบ่งรวมกัน 10%
นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ยอดขายสินค้าโดยรวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2571 มีโอกาสขยายตัวถึง 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือถ้ามีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาส่งเสริมอาจจะขยายตัวถึง 2.32 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ Momentum Works ยังมองว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือการบุกตลาดของ “Temu” แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากผู้ให้บริการรายใหญ่ในจีนอย่าง Pinduoduo ที่ชูจุดเด่นขายสินค้าในราคาถูกมาก จนสามารถบุกตลาดในสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ
หาก Temu จริงจังกับการเข้ามาทำตลาดในภูมิภาคมากขึ้น ผู้ให้บริการที่ครองตลาดอยู่เดิมอาจจะต้องดำเนินกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างการเติบโตมากขึ้น และจัดทัพองค์กรให้ “ลีน” พร้อมต่อสู้การแข่งขันและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันของสมรภูมิอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นที่จับตาของหลายฝ่าย เนื่องจากการบุกตลาดของผู้ให้บริการหน้าใหม่ และการเติบโตอย่างรวดเร็วของบางแพลตฟอร์ม เช่น TikTok Shop คงส่งผลต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจของเจ้าตลาดเดิมไม่มากก็น้อย