ทำไม “หัวเว่ย”ต้องลงทุน R&D ปีละเฉียด 5 แสนล้านบาท

ในงานแสดงเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม และไอซีทีระดับโลก Mobile World Congress2019 #MWC19 ที่เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่ง “หัวเว่ย”ได้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดด้านไอซีที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยี 5G ครบวงจร

“กัว ผิง”ประธานกรรมการบริหาร หมุนเวียนตามวาระ “หัวเว่ย”ได้ขึ้นพูดในหัวข้อ “Bringing you 5G Safer Faster Snarter”ว่า การที่โซลูชั่น 5G ของหัวเว่ยได้รับการยอมรับเช่นในปัจจุบันมาจากการให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) มาอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคได้

โดยในปี 2018 ที่ผ่านมา จากการจัดอันดับด้านการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของสหภาพยุโรป (Eu R&D Investment Score board 2018) พบว่า หัวเว่ยอยู่อันดับ 5 ของโลก ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ลงทุนไปกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.4 แสนล้านบาท)

นวัตกรรมด้าน “5G” เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด และทำให้หัวเว่ยเป็นบริษัทแรก ๆ ที่ติดตั้งเครือข่าย 5G ไปเป็นจำนวนมากทั่วโลก ถือได้ว่าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม 5G ที่ได้มีการทดสอบระบบ และการใช้งานในเชิงพาณิชย์แล้วในหลายประเทศ

“เดือนที่แล้ว Zealer ได้มีการตีพิมพ์รายงานการทดสอบระบบที่ระบุว่า 5G ของหัวเว่ยเร็วกว่าสิ่งที่เรียกว่า 5G ในสหรัฐอเมริกาถึง 20 เท่าในการทดสอบภาคสนาม ซึ่งสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ก็เร็วกว่ามากแม้จะไม่ถึง 20 เท่าก็ตาม และนั่นทำให้ผมเข้าใจถึงสิ่งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงพูดว่าสหรัฐอเมริกาต้องการ 5G ที่ทรงพลัง เร็วกว่า และฉลาดกว่า”

ผู้บริหาร “หัวเว่ย”ย้ำว่า ยิ่งลงทุนด้านวิศวกรรมมากเท่าใดก็จะยิ่งสร้างคุณค่าได้มากขึ้นเท่านั้น ทำให้หัวเว่ยสร้างเครือข่าย 5G ที่เรียบง่าย ทรงพลัง และชาญฉลาดให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วโลกได้เร็วกว่าใคร โดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย

“ในฐานะผู้จัดหาอุปกรณ์ ความรับผิดชอบคือการปฏิบัติตามมาตรฐาน และสร้างอุปกรณ์ที่ปลอดภัย ซึ่งใน 5G ก้าวหน้ากว่า 4G มากจนพูดได้ว่าปลอดภัยกว่าด้วย และในฐานะผู้ขาย เราไม่ได้บริหารเครือข่ายโทรคมนาคมและไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูลของผู้ให้บริการ ดังนั้นความรับผิดชอบ และคำสัญญาของเราก็คือเราจะไม่ทำสิ่งไม่ดี”

“กัว ผิง”ย้ำว่า หัวเว่ยไม่เคยและจะไม่สร้างช่องโหว่ในระบบและจะไม่ยอมให้ใครทำเช่นนั้นกับอุปกรณ์ของเราด้วย ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทยืดถือความรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด อีกทั้งมีประวัติความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัยมากว่า 30 ปี และให้บริการผู้คนกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก

“เราทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมจะต้องทำงานร่วมกันในเรื่องมาตรฐาน ซึ่งการสร้างเครือข่ายที่ปลอดภัยจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่ตรวจสอบได้สำหรับผู้ขายและผู้ให้บริการทุกราย”