ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 3 หลายธุรกิจได้รับผลกระทบหนักหนาสาหัส แต่ปรากฏว่า ธุรกิจผลิต “ปุ๋ยอินทรีย์เคมี” ของบริษัท นันทกรี จำกัด จ.สมุทรสาคร ในเครือรัตนากร จ.ชลบุรี ภายใต้แบรนด์ “มุกมังกร” กลับมียอดขายเติบโตกว่าเท่าตัวจาก 500-600 ล้านบาท พุ่งขึ้นไป 1,000 กว่าล้านบาท สวนกระแสโควิด และเศรษฐกิจขาลง
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “ดร.กรีฑา วีระนันทนาพันธ์” ประธาน บริษัท นันทกรี จำกัด พร้อมด้วยบุตรสาว “คุณปาล์ม” ดร.จิตติมา เรืองรัตนากร (วีระนันทนาพันธ์) ผู้บริหารสูงสุด บริษัท นันทกรี
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
และ “คุณต้น” จักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด จ.ชลบุรี สามีคุณปาล์มในฐานะหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทนันทกรี ได้มาบอกเล่าถึงนโยบายและทิศทางการเติบโตของธุรกิจปุ๋ยมุกมังกร
จากปุ๋ยแห่งชาติสู่นันทกรี
ดร.กรีฑาเล่าว่า ผมมีความชำนาญทางด้านเคมี และได้เริ่มตั้งโรงงานปุ๋ยแห่งแรกเมื่อ 37 ปีที่ผ่านมา โดยรับจ้างผลิต (OEM) ให้ปุ๋ยแห่งชาติ ตอนที่ยังไม่มีโรงงาน มาถึงปี 2540 ธุรกิจต่าง ๆ ประสบปัญหา ผมได้นำงานวิจัยที่ทำไว้มาพัฒนา และค่อย ๆ เติบโต
ขณะเดียวกัน ผมไปเป็นที่ปรึกษาและผู้ร่วมทุนให้โรงงานปุ๋ยในประเทศจีน เริ่มทำปุ๋ยตรามุกมังกรขึ้นมา ปี 2541 ผมนำปุ๋ยตรามุกมังกรมาจดทะเบียนในประเทศไทย แต่เริ่มนำแบรนด์นี้มาใช้จริงจังประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ช่วงที่คุณปาล์มขึ้นมาบริหาร
ปัจจุบันมีโรงงานในประเทศไทย 3 แห่งกำลังการผลิตรวม 150,000 ตัน และกำลังลงทุนสร้างโรงงานใหม่อีก 3 แห่ง ที่ จ.นครปฐม เริ่มเดินเครื่องเดือนเมษายนที่ผ่านมา
กำลังการผลิตปีแรกเริ่มต้น 30,000 ตัน และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เต็มที่ถึง 60,000 ตัน คาดว่าไม่เกิน 3 ปีคงเต็มกำลังผลิต ตอนนี้ปริมาณความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ที่จังหวัดระยองกำลังจะขึ้นโรงงานใหม่ ต่อไปคาดหวังว่า เราจะไปตั้งโรงงานอยู่ตรงประตูของทุกภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลางส่วนภาคตะวันออกกำลังจะเกิดขึ้นแถวระยอง สามารถส่งออกไปประเทศกัมพูชาได้ ในกัมพูชาตลาดเราเติบโตมาก
ส่วนที่จีนมีโรงงาน 4 แห่ง ตั้งอยู่ที่เมืองกว่างโจว 2 แห่ง และกว่างสี 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 60,000 ตันต่อเดือน หรือประมาณ 720,000 ตันต่อปี โดยเราถือหุ้นในจีน 20% ในนามที่นำเทคโนโลยีเข้าไป และเข้าไปช่วยปรับปรุงเรื่องบายโปรดักต์
จุดต่างอินทรีย์เคมีมุกมังกร
ดร.กรีฑาบอกต่อไปว่า กรมวิชาการเกษตรแบ่งการขึ้นทะเบียนปุ๋ยเป็น 3 ประเภท 1.ปุ๋ยเคมี 2.ปุ๋ยอินทรีย์ 3.ปุ๋ยอินทรีย์เคมี เพิ่งเปิดให้ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2550 ปุ๋ยตรามุกมังกร เป็นเจ้าเดียวในตลาดที่ไม่มีส่วนผสมของเคมี
แต่ขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยอินทรีย์ไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในสเป็กที่กรมระบุว่า ปุ๋ยอินทรีย์เคมีต้องมีส่วนผสมของปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ต่ำกว่า10% ส่วนใหญ่นำปุ๋ยเคมีมาเติมปุ๋ยอินทรีย์เข้าไปตามเกณฑ์
ส่วนปุ๋ยอินทรีย์เคมีตรามุกมังกรไม่ได้ใช้ส่วนผสมของแม่ปุ๋ยเคมี แต่ผลิตจากบายโปรดักต์ของอุตสาหกรรมอาหารเช่น การผลิตไลน์ซีน วิธีการผลิตเป็นการนำแบคทีเรียไปสกัดเอาโปรตีนจากวัตถุดิบเหล่านี้ออกมา เรียกว่าโปรตีนไนโตรเจน อะมิโน
ดังนั้น ปุ๋ยอินทรีย์เคมีตรามุกมังกรจึงมีธาตุอาหารที่ครบถ้วนกว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แท้ ๆ ซึ่งธาตุอาหารไม่น่าจะเพียงพอ
โดยแนวคิดของปุ๋ยมุกจะเข้าไปปรับปรุงดินให้ดีขึ้น หลังจากใส่ปุ๋ยของเราแล้ว เมื่อดินดีขึ้นจะให้ผลผลิตที่ดีขึ้น
รุกเกษตรแนวใหม่
ดร.จิตติมากล่าวเสริมว่า ปัจจุบันมุกมังกรมีผลิตภัณฑ์ปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยอัดเม็ด และปุ๋ยผสมแบบปั้นเม็ด (compound) รวมถึงมี “อะมิโนพืช” ซึ่งทั้งหมดดีไซน์มาให้เหมาะกับพืชสวนพืชไร่เป็นหลัก
โดยเฉพาะการผลิตปุ๋ยผสมแบบปั้นเม็ด เรามีจุดเด่นเรื่องเทคนิคการผลิต เนื่องจากโรงงานมีการนำระบบเซ็นเซอร์มาตรวจวัดคุณภาพ สามารถตรวจได้เรียลไทม์ทุก 6 วินาที
ถ้าเปรียบเทียบกับโรงงานผลิตปุ๋ยทั่วไป ต้องเก็บตัวอย่างนำไปเข้าห้องแล็บ เพราะฉะนั้น ปุ๋ยในกระสอบรับประกันเลยว่าทุกเม็ดได้คุณภาพสม่ำเสมอ เวลาหว่านออกไปจะได้ธาตุอาหารตามที่คำนวณ
ทำให้ได้ผลผลิตและคุณภาพตามที่ต้องการ ไปตอบรับกับการทำการเกษตรสมัยใหม่ หรือเกษตรอัจฉริยะ (smart farming) ที่มีการนำระบบเทคโนโลยีที่สูงขึ้นเข้ามาบริหารจัดการระบบการเพาะปลูกเรื่องการเกษตรแม่นยำ (precision farming)
สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือ ซึ่งเกิดจากคุณภาพของผลผลิต น่าจะเป็นทิศทางที่ทุกคนจะต้องไปให้ถึง และเป็นเส้นทางของอุตสาหกรรมเกษตรเลยก็ว่าได้ ทั้งในส่วนของภาคการผลิต ผลผลิตทางการเกษตร และภาคของอุตสาหกรรมการเกษตร
ปัจจุบันเกษตรกรมีความรู้ มีเทคนิคที่ดีขึ้น และเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ค่อนข้างสอดคล้องกับแนวโน้มธุรกิจการเกษตร
ยอดขายพุ่งเท่าตัวกว่าพันล้าน
จักรรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกลุ่มรัตนากรเข้ามาถือหุ้นในบริษัทนันทกรี 50% และได้วางแผนร่วมกันเพื่อจะขยายกิจการให้เติบโตขึ้น เนื่องจากปีที่ผ่านมามีการแพร่ระบาดของโรคโควิด ธุรกิจโรงแรมตกลงไปเหลือ 30% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตกลงไปเหลือ 50-60%
แต่ปรากฏว่าธุรกิจปุ๋ยเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่เคยก่อตั้งบริษัทมา ซึ่งสวนทางกับธุรกิจอื่นในเครือที่ยอดขายตกลงหมดเลย
วันนี้บริษัท นันทกรีมีโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5 แห่ง รวมกำลังการผลิต 150,000 ตัน จากเดิมยอดขายทุกปีเติบโตเฉลี่ย 15-25% อยู่ที่ประมาณ 500-600 ล้านบาท แต่ปี 2563 เติบโตขึ้นมา 1,000 กว่าล้าน เรียกว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดขึ้นเป็นเท่าตัว ถือเป็นผู้ผลิตลำดับต้น ๆ ด้านปุ๋ยอินทรีย์เคมีในตลาดเกษตรแนวใหม่ และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
และแนวโน้มปี 2564 ตั้งแต่เดือนมกราคมยังเติบโตต่อเนื่อง จบไตรมาส 1 ปี 2564 อัตราการเติบโตสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โควิดระบาดมายังไงก็ไม่กลัวแล้ว ยังเดินหน้าธุรกิจปุ๋ยต่อไป
โดยยอดขายปุ๋ยที่ดีขึ้นมาจาก 3 ปัจจัย คือ 1.โควิดทำให้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ เรื่องอาหารปลอดภัย (food safety) มากขึ้น คนพร้อมจะจ่ายซื้อความเป็นออร์แกนิกของพืช คนยิ่งนิยมหาปุ๋ยที่เป็นออร์แกนิก กินแล้วสุขภาพดี
2.ทิศทางคนทำเกษตรมากขึ้น และ 3.เกษตรกรที่เคยใช้ปุ๋ยอินทรีย์แล้วรู้สึกว่าไม่ได้ผล ก็หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมีเพิ่มขึ้น เพื่อฟื้นฟูดิน ทุกอย่างจะไหลมาหาปุ๋ยอินทรีย์เคมีมากขึ้น ๆ ทุกปี
ทุ่ม 1.5 พันล้านขึ้น 3 โรงงานใหม่
จักรรัตน์บอกต่อไปว่า ขณะนี้บริษัทกำลังขยายการลงทุน โดยจะสร้างโรงงานเพิ่มอีก 3 แห่ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 150,000 ตัน วงเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท อีก 2 ปีถ้าก่อสร้างโรงงานเสร็จกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนตัน คาดว่ายอดขายจะเพิ่มเป็นประมาณ 2,000 ล้านบาท
เราขยายกำลังการผลิตจำนวนมากมีเป้าหมายขยายตลาดไปต่างประเทศ แบ่งเป็นตลาดภายในประเทศ 35-40% ที่เหลือ 60% เป็นตลาดต่างประเทศ
ที่ผ่านมาเราส่งออกไปประเทศในอาเซียนมานานแล้ว ได้แก่ เมียนมากัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ส่งออกส่วนใหญ่เป็น OEM ส่วนตลาดภายในประเทศ ทำ OEM เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน ทำแบรนด์ตัวเองน้อย สัดส่วนทำ OEM 80% ทำแบรนด์มุกมังกร 20%
Smart Climate Fertilizer
ผลิตภัณฑ์ใหม่รับโลกร้อน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืช ผลไม้ต่าง ๆ ดังนั้น ดร.จิตติมา เรืองรัตนากร (วีระนันทนาพันธ์) ผู้บริหารสูงสุด บริษัท นันทกรี จำกัด ในฐานะคนรุ่นใหม่จึงคิดปุ๋ยที่จะรองรับโลกในอนาคต
โดย ดร.จิตติมากล่าวว่า ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่รองรับเพื่อตอบโจทย์เกษตรกรรุ่นใหม่ (young smart farmer เรียกว่าปุ๋ย “Smart Climate Fertilizer”
ถ้าเราใช้ปุ๋ยตัวนี้ลงไปพืชจะสามารถทนสภาวะแล้งหรือสภาวะอากาศที่เปลี่ยนไปได้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเราได้มีการพิสูจน์มาแล้วว่ามีคุณสมบัตินั้นจริง ๆ อีกทั้งทางต่างประเทศเริ่มมีการวิจัยแล้ว
สมมุติปีไหนเกษตรกรประสบปัญหาแล้ง ปริมาณน้ำฝนน้อย น้ำไม่เพียงพอก็ยังสามารถที่จะพยุงต้นพืชนั้นได้หรือยืดเวลาของพืชชนิดนั้น ๆ เพื่อรอน้ำมาได้ คือ พืชไม่ตายเพราะว่าขาดน้ำการใช้ปุ๋ยชนิดนี้จะไปช่วยโอบอุ้มแร่ธาตุนั้นไว้ได้นาน 6 เดือน
อย่างไรก็ตามอันนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชด้วย “Smart Climate Fertilizer” ใช้ได้กับพืชทุกชนิด แต่เราจะเน้นในส่วนของผัก ยางพารา ผลไม้ อย่างอินทผลัม ทุเรียนภูเขาไฟ ทุเรียนนนท์
เช่น เนื่องจากพืชเหล่านี้จะต้องดูแลพิเศษ อย่างผลไม้จะมีความบอบบางเกิดขึ้น ซึ่งต้องใช้ปุ๋ยที่มีคุณภาพอยู่ได้ไปจนถึงเก็บเกี่ยว มันจะบอบช้ำง่ายต่างจากพวกข้าวที่แห้ง ๆ
อย่างไรก็ตาม ปุ๋ยชนิดนี้มีต้นทุนราคาสูง แต่จริง ๆไปเปรียบเทียบกับผลผลิตสุดท้ายที่ได้คุ้มค่า เพราะบางทีใส่ปุ๋ยเท่ากัน แต่ผลผลิตที่ได้ไม่เท่ากัน
สำหรับผลิตภัณฑ์ Smart Climate Fertilizer จะใช้เวลาพัฒนาอีกไม่เกิน 2 ปีจะวางตลาด พร้อมกับการเปิดโรงงานใหม่ ต่อไปการผลิตปุ๋ยแต่ละชนิดจะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพราะฉะนั้น จะมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเฉพาะขยายมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ที่วางแผนไว้โรงงานหนึ่งจะผลิตอะมิโนเข้มเป็นต้นไปเลย อีกโรงงานจะเป็นคอมพาวนด์สมาร์ทไคลเมตไปเลย