ฟิลิปส์ กางโรดแมปขย่มหนัก เพิ่ม “งบฯ-ไลน์อัพสินค้า” ลั่นโตก้าวกระโดด

เครื่องใช้ไฟฟ้าฟิลิปส์

“ฟิลิปส์” เปิดเกมบุก ลั่นขยายธุรกิจในไทยเป็น 3 เท่าใน 4 ปี พร้อมแจงยุทธศาสตร์ใหม่ทั้งทุ่มลงทุนการตลาดเพิ่ม 2-3 เท่า ขยายทัพพนักงานขาย-ไลน์อัพสินค้า เร่งวิจัยอินไซต์ผู้บริโภคปั้นกลยุทธ์เจาะไลฟ์สไตล์ตั้งแต่คนทำงานยันสูงวัย ส่วนโค้งท้ายเตรียมจัดใหญ่ 11/11 ดันเครื่องรีดไอน้ำพกพา-หม้อทอดรุ่นใหม่ โกยรายได้โค้งท้าย

นายแดเนียล แอบโบ รองประธานและผู้นำตลาดประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท ฟิลิปส์ โดเมสติค แอพพลายแอนเซส จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ ฟิลิปส์เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงทิศทางการทำธุรกิจในประเทศไทยว่า บริษัทจะเพิ่มความเข้มข้นในการทำตลาดในประเทศไทยแบบก้าวกระโดด ตามเป้าหมายเพิ่มขนาดธุรกิจในไทยเป็น 2-3 เท่าจากปัจจุบันภายในเวลา 4 ปี ทั้งด้วยการขยายไลน์อัพสินค้า การปรับแนวทางการทำตลาด และการลงทุนด้านการตลาดเพิ่มอีกอย่างน้อย 2-3 เท่าของตัวเลขการลงทุนเดิม ตามแนวทางของบริษัทแม่ที่จะขยายขนาดธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกขึ้นอีก 3-5 เท่าของปัจจุบัน

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ เนื่องจากตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวของประเทศไทย ยังมีศักยภาพสามารถเติบโตได้อีกมาก ทั้งด้วยจำนวนผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่ยังเป็นชนชั้นกลาง วัยทำงานอายุ 25-45 ปี ซึ่งให้ความสนใจด้านการทำอาหารและสุขภาพ รวมถึงต้องการโซลูชั่นอำนวยความสะดวกในการทำงานบ้านและสุขภาพ สอดคล้องกับจุดแข็งของฟิลิปส์ อีกทั้งผู้บริโภคยังรู้จักและให้ความเชื่อมั่นกับแบรนด์ในระดับดีอีกด้วย ขณะเดียวกันยังมีช่องทางให้ขยายตัวได้อีกมาก เพราะปัจจุบันอัตราการครอบครองสินค้าหลายหมวดยังต่ำในระดับเลขหลักเดียวปลาย ๆ-เลขสองหลักต้น ๆ เท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น เครื่องฟอกอากาศ ที่แม้จะมีกระแสแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการระบาดของโควิด-19 จนไทยเป็นหนึ่งประเทศที่มียอดขายเครื่องฟอกอากาศสูงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แต่ครัวเรือนที่มีเครื่องฟอกอากาศใช้ยังอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 10 เท่านั้น

กางแผนเจาะลูกค้า 4 กลุ่ม

นายแดเนียลกล่าวย้ำว่า จากนี้ไปยุทธศาสตร์สำคัญจะมุ่งไปที่การหาอินไซต์การใช้ชีวิตและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุ เริ่มจากวัยเริ่มต้นทำงานอายุ 20 ปี ไปจนถึงสูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป เพื่อนำมาสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้งาน ความสามารถในการเข้าถึงสินค้า ไปจนถึงความพร้อมที่จะลงทุนซื้อสินค้า ควบคู่กับการขยายทีมพนักงานขายในร้านค้าออฟไลน์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในฐานะผู้ใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อจูงใจผู้บริโภคผ่านการพูดคุย สาธิตการใช้งาน รวมถึงอธิบายการรับประกัน-บริการหลังการขายเพื่อเน้นย้ำความคุ้มค่า

ตามยุทธศาสตร์นี้ จะแบ่งผู้บริโภคออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอายุ 20-35 ปี หรือกลุ่มเริ่มทำงานไปจนถึงเริ่มสร้างครอบครัว ซึ่งหลายรายไม่เพียงต้องทำงานบ้านเองและต้องทำงานออฟฟิศด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรีดผ้า ทำอาหาร จึงต้องการโซลูชั่นมาอำนวยความสะดวก เช่น เตารีด ที่สามารถใช้ได้แม้รีดผ้าไม่เป็นหรือหม้อหุงข้าวที่ทำอาหารเมนูต่าง ๆ ได้ด้วย

“ปัจจุบันลูกค้าไม่ได้ต้องการรีดผ้า แต่ต้องการเสื้อที่เรียบ และพร้อมสำหรับใส่ไปทำงาน ดังนั้นทางออกจึงไม่จำกัดเฉพาะการรีดแบบเดิม ๆ อีกทั้งคนรุ่นใหม่ยังมองว่าการรีดผ้าเป็นกิจกรรมที่ดูแก่-โบราณไปแล้ว”

ตามด้วยกลุ่มครอบครัวที่มีลูกเล็ก ซึ่งต้องดูแลทั้งตัวเองและครอบครัวด้วย ทำให้นอกจากความสะดวกแล้ว ยังสนใจประเด็นสุขภาพ เช่น สารอาหาร และความสะอาดเพิ่มขึ้น จึงเริ่มต้องการเครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดฝุ่นที่มีฟังก์ชั่นมากขึ้น เพื่อให้สภาพบ้านเหมาะกับเด็กเล็ก

อีกกลุ่มคือครอบครัวที่ลูกเริ่มโต หรืออาจมีลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีภาระงานบ้านมากขึ้น เช่น ซัก-รีดชุดนักเรียน เตรียมอาหารปริมาณมาก จึงมองหาโซลูชั่นที่ช่วยประหยัดเวลา อย่างเตารีดไอน้ำที่รีดผ้าจำนวนมากได้เร็ว รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวที่ช่วยให้ทำอาหารได้หลายเมนูได้ง่าย เพราะเด็ก ๆ มักเบื่อง่าย และภาระที่มากทำให้ผู้ปกครองไม่มีเวลาเรียนรู้หรือทดลองทำเมนูใหม่ ๆ มากนัก

สุดท้ายคือกลุ่มสูงวัยที่ลูก ๆ เริ่มทำงาน หรือแยกไปมีครอบครัว ทำให้ภาระลดลง เช่น รีดผ้า-ทำความสะอาดน้อยลง ทำอาหารน้อยลง แต่ขณะเดียวกันก็มีกำลังซื้อสูงพอจับจ่ายสินค้ารุ่นสูงขึ้น รวมถึงมีเวลาให้กับตนเองมากขึ้น อย่างเช่น การดื่มกาแฟ ซึ่งจะเจาะกลุ่มนี้ด้วยไลน์อัพเครื่องชงเอสเปรสโซ่อัตโนมัติ ที่มีจุดเด่นทั้งเรื่องรสชาติและประสบการณ์ใช้งาน

“อย่างไรก็ตาม สำหรับในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเน้น 2 กลุ่มแรกคือ กลุ่มเริ่มทำงาน-สร้างครอบครัวเป็นพิเศษ เพราะเป็นโอกาสที่จะเข้าสร้างความสัมพันธ์ในฐานะเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์แรกที่ลูกค้าซื้อใช้เอง เช่นเดียวกับกลุ่มที่เริ่มมีลูกเล็ก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีเวลาแต่ละวันน้อยลง ดังนั้นหากแบรนด์ใดสามารถช่วยอำนวยความสะดวก ดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวได้ จะรับความเชื่อถือจากคนกลุ่มนี้มาก”

บุกหนักโค้งท้ายยันต้นปีหน้า

รองประธานฯบริษัท ฟิลิปส์ฯ กล่าวว่า สำหรับช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 และไตรมาส 1 ปี 2566 บริษัทมีแผนจะรุกตลาด ด้วยการโฟกัส 2 สินค้า คือ เครื่องรีดไอน้ำแบบมือถือ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องกลับมารีดผ้าเพื่อใส่ไปทำงานอีกครั้ง ด้วยจุดเด่นอย่างน้ำหนักเบา และใช้กับเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ได้ ลดรอยยับได้เร็ว ราคาจับต้องได้ ประมาณ 1,100-1,500 บาท อีกสินค้าคือ หม้อทอด Airfryer ที่ปัจจุบันมีแอป NutriU มาเสริมให้สามารถค้นหาสูตรทำอาหารมากกว่า 500 สูตร ซึ่งจะมีรายละเอียดทั้งส่วนผสม การเตรียมวัตถุดิบ และยังเชื่อมต่อกับหม้อรุ่นที่รองรับเพื่อปรับค่าต่าง ๆ เช่น เวลา อุณหภูมิของเครื่องได้โดยอัตโมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถทำอาหารได้ง่ายและหลากหลายเมนูขึ้น ส่วนผู้ใช้หม้อรุ่นเก่าสามารถปรับอุณหภูมิและเวลาเองตามข้อมูลในแอปได้เช่นกัน

ขณะเดียวกันก็จะกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งท้ายก่อนปิดปี ด้วยการจับมือกับแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเฟลซต่าง ๆ จัดแคมเปญใหญ่ช่วงวันที่ 11 เดือน 11 ซึ่งเป็นจังหวะขายสำคัญเพราะผู้บริโภคต่างเฝ้ารอจับจ่ายในมหกรรมช็อปปิ้งนี้ ก่อนจะเดินหน้าขยายการทำตลาดสินค้าหมวดใหม่ ๆ เพิ่มเติมในปี 2565 ซึ่งจะมีทั้งสินค้าใหม่ที่ไม่เคยทำตลาดมาก่อน และสินค้าที่มีอยู่แล้ว แต่เดิมไม่ได้เน้นมากนัก เพื่อขยายฐานลูกค้า

“ด้วยยุทธศาสตร์ด้านการตลาดและการลงทุนเพิ่มทัพพนักงานขายหน้าร้านนี้ ร่วมกับความเชี่ยวชาญของทีมงานในประเทศไทย จึงมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าขนาดธุรกิจในไทยเป็น 2-3 เท่าจากปัจจุบันภายในเวลา 4 ปีได้แน่นอน” นายแดเนียลกล่าวทิ้งท้าย