คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
ตอนนี้นโยบายเรื่อง “กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของพรรคเพื่อไทยกำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง
ในทางการเมือง นี่คือ “หมัดฮุก” ที่ทรงประสิทธิภาพสูงมาก
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- พระราชประวัติ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ วันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน
- กองทุนประกัน อนุมัติจ่ายเงิน 7.29 พันล้าน มี.ค.-เม.ย. รับรองมูลหนี้เพิ่ม 560 ล้าน
ยิ่งกว่าค่าแรง 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท
เป็นนโยบายที่ได้เสียงตอบรับจากชาวบ้านท่วมท้น
เพราะใคร ๆ ก็อยากได้เงินไปใช้คนละ 10,000 บาท
ถ้าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์ก็เพราะนโยบายนี้
นั่นคือ มุมของการหาเสียงทางการเมือง
แต่ในมุมทางเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทยตั้งใจใช้นโยบายนี้กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
เขาเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยต้องการการปั๊มหัวใจ
การอัดฉีดเงิน 500,000 ล้านบาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล จะมีข้อกำหนดว่า ต้องใช้ให้หมดภายใน 6เดือน
และใช้ได้ในรัศมีไม่เกิน 4 กิโลเมตร จากที่อยู่ในบัตรประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกพื้นที่
ถ้าคนต่างจังหวัดมาทำงานในเมืองกรุงก็ต้องกลับไปใช้ที่บ้านเกิด เพื่อบีบเงินให้ลงสู่พื้นที่ชนบท
และจำนวนเงิน 10,000 บาท สูงพอที่จะดึงดูดให้คนกลับบ้านไปใช้เงิน
ถ้าทำได้จริงเงินจะสะพัดอย่างรุนแรงในช่วง 6 เดือน
แม้ว่าจะไม่ถึง 500,000 ล้านตามเป้าหมาย เพราะคนที่มีเงินเมื่อได้เงินดิจิทัลมา 10,000 บาท
เขาก็อาจจะจ่ายต่อเดือนเท่าเดิม แต่เมื่อรัฐให้เงินมาใช้ฟรี 10,000 เขาก็จะใช้ก้อนนี้ก่อน และเก็บเงินเพิ่ม 10,000 บาท
แต่คนกลุ่มนี้คงมีไม่มากนัก เพราะคนส่วนใหญ่แต่ละเดือนจะหาเงินไม่พอจ่ายอยู่แล้ว
พอได้เงิน 10,000 บาทปั๊บ เขาก็จะใช้ทันที
หรือบางครอบครัวมีรวมกัน 4-5 คน ได้เงินไป 40,000-50,000 บาท เงินก้อนนี้สำหรับในชนบทสามารถตั้งตัวทำธุรกิจเล็ก ๆ ได้เลย
และเมื่อเงินหมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ชนบท เงินจะหมุนหลายรอบ
นี่คือ มุมของคนที่มองเรื่องนี้ในแง่บวก
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะสายการเงินการคลังที่ตั้งคำถามว่า เงินก้อนนี้จะเอามาจากไหน
กู้อีกหรือเปล่า
และจะสะเทือนวินัยทางการเงินการคลังหรือไม่
เพราะใช้เงินถึง 500,000 ล้านบาท
พรรคเพื่อไทยนั้นยืนยันว่า จะไม่กู้ แต่จะใช้จากเงินภาษีที่คาดการณ์ว่าจะเก็บได้เพิ่มอีก 2 แสนกว่าล้าน และรีดไขมันจากงบใหม่ปีหน้าอีกส่วนหนึ่ง
รวมทั้งเชื่อว่าเมื่อเงินสะพัดขนาดนี้ รัฐจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนิติบุคคลได้มากขึ้น
แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ไม่เชื่อว่าเงินก้อนนี้จะเพียงพอ
ความจริงแล้วโครงการนี้คล้ายกับโครงการคนละครึ่ง คือ ใส่เงินเพิ่มในกระเป๋าประชาชน
แต่รัฐบาล “ลุงตู่” ใช้ “คนละครึ่ง” เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ที่พรรคเพื่อไทยเสนอ
ไม่ค่อยมีคนรู้ว่าโครงการคนละครึ่งใช้เงินประมาณ 220,000 ล้านบาท ภายในเวลา 1 ปีครึ่ง
หรือใช้เงินไปครึ่งหนึ่งของที่พรรคเพื่อไทยจะใช้
และเป็น “เงินกู้”
ซึ่งไม่ค่อยมีใครบ่นว่าเสียวินัยการเงินการคลัง
พรรคเพื่อไทยแค่ใช้วงเงินที่มากขึ้น แต่บีบเวลาการใช้ให้เหลือ 6 เดือน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
หลักการตลาดพื้นฐาน คือ ถ้าเรื่องนี้ส่งผลทางจิตวิทยาทำให้ประชาชนรู้สึกมี “ความหวัง”
เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
เขาจะจับจ่ายใช้สอย
แม้แต่เงินอนาคตก็กล้าใช้
เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ
แต่ถ้าเขาคิดว่าเศรษฐกิจจะแย่
ต่อให้มีเงินในกระเป๋า เขาก็จะเก็บ ไม่ยอมใช้
หลังเลือกตั้งถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง เราก็จะได้คำตอบว่า ผลของนโยบายนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ก่อนอื่นพรรคเพื่อไทยต้องฝ่าด่าน ส.ว. 250 คน ตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน