เปิด 4 ทางเป็นไปได้ ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชะตากฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายลูก 2 ฉบับ จะกลายเป็นวาระร้อนคู่ขนานกับความไม่ลงรอยระหว่าง 2 ลุง-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
เพราะศาลรัฐธรรมนูญ กำลังจะตัดสินร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่..) พ.ศ. … หรือ พ.ร.ป.พรรคการเมือง (ซึ่งเกี่ยวกับการตั้งตัวแทนพรรคประจำเขต ประจำจังหวัด การทำไพรมารีโหวต และการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพรรคการเมือง) ที่พิจารณากันในวันที่ 23 พฤศจิกายน
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ… หรือ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. (แก้ไขสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบพึงมี หาร 500 มาสู่สูตร “สัมพันธ์ทางตรง” กับจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน) ศาลนัดพิจารณาในวันที่ 30 พฤศจิกายน
นักการเมือง-คอการเมือง ต่างจับตาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างตาไม่กะพริบ พรรคเพื่อไทยที่เตรียมจะจัดประชุมใหญ่ พร้อมกับเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ต้องเลื่อนวาระออกไปก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนของกฎหมายลูก
ส.ส.ที่กำลังจะตัดสินใจ “ย้ายพรรค-สลับขั้ว” ต่างก็รอดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน
สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปัจจุบันเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคเสรีรวมไทย ได้ร่วมกระบวนการตรากฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับ ตั้งแต่แรกเริ่ม วิเคราะห์ฉากสำคัญในศาลว่า พ.ร.ป.พรรคการเมืองไม่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหามากนัก
“ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญจะเคร่งครัดเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนและสมาชิกพรรค ว่าจะต้องทำอย่างจริงจัง ถ้าตัดสินแนวนี้จะตัดสินโดยยึดหลักอุดมการณ์และอุดมคติ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของการเมืองไทย อาจเป็นการสร้างภาระให้พรรคการเมือง ทำให้พรรคการเมืองที่เพิ่งก่อตั้งลำบาก เพราะจะต้องมีตัวแทนประจำเขต ตัวแทนประจำจังหวัดในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ”
แต่ไม่ได้แตกต่างกันมากระหว่างผ่าน กับไม่ผ่าน ถ้าผ่านศาลรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองก็ทำงานง่ายขึ้น ถ้าไม่ผ่านก็ทำงานยากขึ้น ส่วนจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้จริงหรือไม่ ผมคิดว่าไม่จริง เพราะท้ายที่สุดพรรคการเมืองก็จะทำขั้นตอนเป็นพิธีกรรม ในแง่ความจริงของสังคมไทย ไม่ว่าตั้งตัวแทนเขต หรือทำไพรมารีโหวตก็ทำแบบปลอม ๆ ถ้าให้เดาทางศาล คิดว่าศาลน่าจะรู้ข้อเท็จจริงของสังคมไทย ไม่ยึดสิ่งที่เป็นอุดมคติ คิดว่ากฎหมายพรรคการเมืองผ่านได้
ส่วน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.มีความหมายต่อนักการเมืองมาก เพราะส่งผลต่อการได้เปรียบเสียเปรียบต่อพรรคการเมือง ถ้าผ่านศาลรัฐธรรมนูญ พรรคใหญ่จะได้เปรียบสูงมาก ได้ทั้ง ส.ส.เขตและได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีกเต็ม ๆ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น แนวคิดไม่ให้กฎหมายผ่านก็อาจจะมีสูง
และการไม่ให้ผ่านก็มีเหตุผลที่พอจะชี้แจงได้ เพราะตัวรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไข แก้ไขไม่ครบทุกมาตรา ยังมีคำว่า ส.ส.พึงมี และ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พึงได้รับ ในมาตรา 93 และ 94 ซึ่งอาจยกเป็นข้ออ้างให้ไม่ผ่านศาลรัฐธรรมนูญได้
“ถ้ามองในเชิงเหตุผลทางการเมืองและกฎหมายคิดว่าไม่ผ่านสูง แต่ศาลคงไม่ได้มองมิติเหตุผลทางการเมือง แต่น่าจะมองเหตุผลทางกฎหมายเป็นหลัก” สมชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรคสาม เขียนไว้ว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.นั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสําคัญให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป
แล้วสูตรคำนวณ ส.ส.แบบหาร 100 ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังตีความเป็นสาระสำคัญหรือไม่ “สมชัย” วิเคราะห์ว่า “เป็นสาระสำคัญอยู่แล้ว”
ดังนั้น ถ้าเป็นสาระสำคัญ กฎหมายจะต้องตกไปทั้งฉบับ เพราะศาลคงไม่สามารถไปชี้ว่าให้แก้ตรงไหน ถ้าศาลไปชี้ให้แก้ตรงไหนก็ถือว่าศาลใจดี ไปแก้ตามที่ศาลสั่ง อาจเป็นแนวทางหนึ่ง แต่ศาลเองต้องมีความชัดเจน
“อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า ศาลจะชี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ไม่ได้บอกว่าให้เขียนใหม่อย่างไร เพราะการร่างกฎหมายเป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีเสนอกฎหมายสู่สภา ถ้าศาลชี้ให้เขียนอย่างไร ก็เท่ากับว่าศาลเป็นผู้เขียนกฎหมายเอง”
ถ้ากฎหมายตกไป “สมชัย” มองทางออกมีอยู่ 4 ทาง
1.เสนอกฎหมายเข้ามาใหม่โดยเร็ว ฝ่ายรัฐบาลอาจเตรียมพร้อมไว้แล้ว ในฐานะที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางการเมืองอยู่แล้ว อาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภา อาจจะเสนอพิจารณา 3 วาระรวดได้หรือไม่
2.ถ้ามีเหตุยุบสภา การออกกฎหมายอาจจะทำไม่ได้ คณะรัฐมนตรีอาจออกพระราชกำหนดเพื่อเป็นกรอบให้ กกต.จัดการเลือกตั้ง
3.ให้ กกต.ออกคำสั่ง ประกาศ ในการเลือกตั้ง แต่คิดว่า กกต.คงไม่ทำวิธีนี้
4.ย้อนกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับไปฉบับดั้งเดิม 2560 คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับ 3 มาตราคือ มาตรา 83 เปลี่ยนเป็นบัตรเลือกตั้งใบเดียว ส.ส.เขต 350 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน มาตรา 86 เรื่องการคำนวณว่าจังหวัดนี้จะมี ส.ส.เขตกี่คน และมาตรา 91 การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อให้ใช้ระบบ ส.ส.พึงมี และ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พึงได้รับ
อย่างไรเสียปี 2566 ก็ต้องมีการเลือกตั้ง เป็นวาระที่หนีไม่พ้น