ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เปิดใจครั้งแรก หลังโรมอภิปรายปม#ค้ามนุษย์

ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เปิดใจครั้งแรก หลัง

ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ เปิดใจครั้งแรก เผยรู้สึกได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่ง หลัง “โรม” อภิปรายปมค้ามนุษย์ 

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 มติชนรายงานว่า วานนี้ (18 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ โดยลดระดับประเทศไทยจาก Tier 2  ลงไปอยู่ในกลุ่ม Tier 2 Watch List ซึ่งเกือบแย่สุดจากทั้งหมด 4 ระดับ

เนื่องจากมีการลักลอบขนขนผิดกฎหมายข้ามชายแดนระหว่างไทย-เมียนมา มีการเรียกเก็บเงิน โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทั้งนี้ เราเคยมีความพยายามปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ครั้งใหญ่เท่าที่ประเทศเคยมีมา เป็นการเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้ตั้งแต่นายหน้าค้ามนุษย์ที่เป็นบุคคลทั่วไปจนถึงทหารระดับสูง คดีนี้คือคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา นำทีมสอบสวนโดย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ในช่วงปี 2558

ชะตากรรมปวีณ

นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า การค้ามนุษย์ไม่ได้มีแค่บังคับไปขายบริการ ขอทาน หรือแรงงานบนเรือประมง แต่กรณีชาวโรฮิงญา คือชาติพันธุ์ที่ถูกกดขี่ในประเทศเมียนมาที่ต้องการอพยพไปประเทศมาเลเซียและใช้เส้นทางผ่านทางประเทศไทย จึงเป็นที่มาของขบวนการที่หากินกับชีวิตและเลือดเนื้อของคน การเรียกเก็บเงินหัวละหลายหมื่น จับยัดใส่เรือประมง พอขึ้นฝั่งก็เอามาขังไว้ที่ค่ายลับกลางป่า ผู้หญิงถูกข่มขืน แต่ละคนถูกซ้อมทรมาน

นายรังสิมันต์กล่าวด้วยว่า สภาพค่ายที่ถูกคุมขังและหลุมศพชาวโรงฮิงญาที่ตรวจพบนั้น มันคือสิ่งที่มนุษย์ทำกันมนุษย์ด้วยกันแบบนี้เรียกว่าค้าทาส เห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา เป็นความอำมหิตของทุกคนที่กระทำและสนับสนุนอาชญากรรมให้ดำรงอยู่นานนับสิบปี ซึ่งการขังคนแบบนี้ลำพังอาชญากรทั่วไปทำไม่ได้ ถ้าไม่มีอาชญากรในเครื่องแบบร่วมด้วย

ซึ่ง พล.ต.ต.ปวีณ พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นแบบนั้นจริง ด้วยการสืบไปถึงนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจ ทหาร ชื่อที่ใหญ่ที่สุดคือ พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เตรียมทหารรุ่น 16 แต่ชะตากรรมเจ้าของผลงานตัวจริง ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

“จากคำให้การของ พล.ต.ต.ปวีณ ต่อทางการของประเทศออสเตรเลีย เพื่อใช้ขอลี้ภัย เป็นกระบวนการตามกฎหมายให้การสาบานว่าเป็นความจริงและได้รับการยอมรับจากประเทศปลายทางให้ลี้ภัยได้ อยากให้ตำรวจ ข้าราชการ ประชาชน เข้าไปดูคำให้การนี้ได้ที่ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊กของพรรคก้าวไกล และนึกทบทวนว่า ชีวิตงานราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่พวกท่านกลับมาเจอเรื่องแบบนี้หรือไม่”

โดยเดือนพฤษภาคม 58 พล.ต.ต.ปวีณ จะต้องตามหาพยานคนสำคัญ แต่ถูกปฏิเสธให้ข้อมูล จนต้องหาพยานขยายผลและออกหมายจับคนที่เกี่ยวข้อง ต่อมามีการค้นบ้านผู้ต้องหา จ.ระนอง พบหลักฐานการโอนเงินของผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ลงชื่อหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการค้ามนุษญ์รายใหญ่ จ.ระนอง มีสายสัมพันธ์โยงใยนายทหารคนหนึ่งที่อยู่ในรัฐบาลนี้ด้วย

นอกจากนี้ลูกสาวของหญิงคนดังกล่าวเพิ่งถูกจับเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา น่าแปลกมากที่มาจับได้หลังไทยโดนลดระดับ Tier 2 Watch List  จึงสงสัยต้องเร่งทำผลงานเพราะถูกลดระดับ Tier 2 Watch List หรือไม่ ซึ่งอุปสรรคที่ พล.ต.ต.ปวีณ ต้องเจอคือการขัดขวางกระบวนการสืบสวน การปิดบังพยานหลักฐาน โดยตำรวจ เพื่อนร่วมอาชีพ นี่คือส่วนต่อขยายของขบวนการทั้งหมดที่แฝงอยู่ในหน่วยงานตำรวจ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่คุมตำรวจเวลานั้น เคยรู้อะไรหรือไม่

ปวีณเปิดใจครั้งแรก

ล่าสุดวันนี้มติชนรายงานว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ ปัจจุบันเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบออนไลน์ โดยคุยกับ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล และนางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า เปิดใจครั้งแรกถึงกรณีการอภิปรายเปิดเผยความไม่ชอบมาพากลเรื่องอื้อฉาวในการสืบสวนคดีค้ามนุษย์ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุว่า

“วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องความทุกข์ที่สร้างความเครียดเรื่องหนึ่งในชีวิต นับแต่ต้องหนีออกจากประเทศไทย จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน 3 วัน จากการถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก สตช. จากรัฐบาล และผู้มีอำนาจ จากการอภิปรายของพรรคก้าวไกลกับการเปิดเผยเรื่องราวที่ผ่านมา ขอยืนยันว่านั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง” พล.ต.ต.ปวีณระบุ

“ทุกวันนี้ผมต้องใช้ชีวิตเหมือนผู้ลี้ภัย ต้องมาเรียนภาษา เหมือนคนซีเรีย เลบานอน หรือเหมือนคนพม่า ต้องเรียน หางานทำเลี้ยงชีพ ผมไม่รู้ตัวมาก่อน ภาษาก็ไม่ได้ ทรัพย์สินก็ไม่มี ถึงเวลานี้ผมรู้สึกได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งขาดหายไป

เสียดาย หากวันนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยแท้จริง มีนายกฯและผู้บริหารทุกระดับที่อยากให้ประเทศใสสะอาด มีความซื่อสัตย์ กล้าหาญ ให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเที่ยงตรงเหมือนนานาอารยประเทศ ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปอย่างสุดทาง ชีวิตราชการของผม ความสามารถของผม ประสบการณ์ของผม มั่นใจว่าจะสาวไปถึงปลาตัวใหญ่อีกหลายตัวแน่นอน นี่คือความรู้สึกที่อยากจะบอกทุกคนครับ” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว

ก้าวไกลอยากเห็นปวีณกลับไทย

ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจของพรรคก้าวไกลที่จะต้องทวงถาม และใช้ทุกกลไกที่เรามีเดินหน้าทลายขบวนการการค้ามนุษย์เพื่อเอาพยานหลักฐาน ข้อมูลที่ พล.ต.ต.ปวีณ ได้รวบรวมเอาไว้ถึง 270,000 แผ่นกระดาษ เพื่อไม่ให้ขบวนการแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งขบวนการแบบนี้ไม่ใช่แค่กัดกินคนที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ขบวนการแบบนี้คือการทำให้ระบบราชการ คนดี ๆ จำนวนมากไม่มีที่ยืนในสังคม

ยืนยันว่าภารกิจนี้เราไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับข้าราชการน้ำดี แต่เรากำลังเป็นศัตรูกับคนชั่ว ข้าราชการที่ต้องการแสวงหาประโยชน์เข้าสู่ตัวเอง ตนมองว่ากรณีของ พล.ต.ต.ปวีณนี้เป็นจุดที่เราเห็นว่าประเทศไทยมาถึงจุดวิกฤต สังคมที่แม้คนจะทำงานดีที่สุดไม่โกงกินก็อยู่ไม่ได้

“ยืนยันว่าพรรคก้าวไกลเราอยากเห็น พล.ต.ต.ปวีณกลับมาไทยอย่างปลอดภัย อยากเห็นการทลายเครือข่ายค้ามนุษย์ การขยายผลที่มากไปกว่า พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ที่ถูกจำคุกคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา อยากเห็นคนที่อยู่ในทำเนียบปัจจุบันนี้ต้องรับผิดชอบกับความอยุติธรรม” นายรังสิมันต์กล่าว

ไม่ถอนคำว่า “อำมหิต”

นายรังสิมันต์ยังกล่าวถึงกรณีที่ยอมออกจากห้องประชุมสภาหลังไม่ยอมถอนคำพูดว่าอำมหิต ที่ได้ใช้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ตนยังยืนยัน ก็ไม่เข้าใจว่าการใช้คำว่าอำมหิตจะผิดตรงไหน ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ การค้ามนุษย์เกิดขึ้น

ตนนำข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ต้องมีส่วนรับผิดชอบอย่างไรต่อการที่ พล.ต.ต.ปวีณต้องลี้ภัย และการค้ามนุษย์ แต่สิ่งที่เกิดคือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบคำถาม แม้ยังอยู่บนที่นั่งในห้องประชุม แล้วยังขออนุญาตประธานสภาออกห้องไปแบบไม่ตอบคำถาม ตนเลยรู้สึกว่าการค้ามนุษย์มันร้ายแรง แล้วทำไม พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นนายกฯ ถึงไม่ตอบคำถามนี้

ราวกับส่งสัญญาณว่าการค้ามนุษย์ การมีเจ้าหน้าที่รัฐไปเกี่ยวข้องเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย และยิ่งได้เห็นภาพที่ชาวโรฮีนจากินใบไม้เพื่อประทังชีวิต โดยส่วนตัวเองนั้นรับไม่ได้ เลยไม่รู้จะใช้ไหนเลยใช้คำว่าใจดำ อำมหิต