ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ เปิดใจครั้งแรก เผยรู้สึกได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่ง หลัง “โรม” อภิปรายปมค้ามนุษย์
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 มติชนรายงานว่า วานนี้ (18 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ โดยลดระดับประเทศไทยจาก Tier 2 ลงไปอยู่ในกลุ่ม Tier 2 Watch List ซึ่งเกือบแย่สุดจากทั้งหมด 4 ระดับ
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
เนื่องจากมีการลักลอบขนขนผิดกฎหมายข้ามชายแดนระหว่างไทย-เมียนมา มีการเรียกเก็บเงิน โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทั้งนี้ เราเคยมีความพยายามปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ครั้งใหญ่เท่าที่ประเทศเคยมีมา เป็นการเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้ตั้งแต่นายหน้าค้ามนุษย์ที่เป็นบุคคลทั่วไปจนถึงทหารระดับสูง คดีนี้คือคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา นำทีมสอบสวนโดย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ในช่วงปี 2558
ชะตากรรมปวีณ
นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า การค้ามนุษย์ไม่ได้มีแค่บังคับไปขายบริการ ขอทาน หรือแรงงานบนเรือประมง แต่กรณีชาวโรฮิงญา คือชาติพันธุ์ที่ถูกกดขี่ในประเทศเมียนมาที่ต้องการอพยพไปประเทศมาเลเซียและใช้เส้นทางผ่านทางประเทศไทย จึงเป็นที่มาของขบวนการที่หากินกับชีวิตและเลือดเนื้อของคน การเรียกเก็บเงินหัวละหลายหมื่น จับยัดใส่เรือประมง พอขึ้นฝั่งก็เอามาขังไว้ที่ค่ายลับกลางป่า ผู้หญิงถูกข่มขืน แต่ละคนถูกซ้อมทรมาน
นายรังสิมันต์กล่าวด้วยว่า สภาพค่ายที่ถูกคุมขังและหลุมศพชาวโรงฮิงญาที่ตรวจพบนั้น มันคือสิ่งที่มนุษย์ทำกันมนุษย์ด้วยกันแบบนี้เรียกว่าค้าทาส เห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา เป็นความอำมหิตของทุกคนที่กระทำและสนับสนุนอาชญากรรมให้ดำรงอยู่นานนับสิบปี ซึ่งการขังคนแบบนี้ลำพังอาชญากรทั่วไปทำไม่ได้ ถ้าไม่มีอาชญากรในเครื่องแบบร่วมด้วย
ซึ่ง พล.ต.ต.ปวีณ พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นแบบนั้นจริง ด้วยการสืบไปถึงนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจ ทหาร ชื่อที่ใหญ่ที่สุดคือ พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เตรียมทหารรุ่น 16 แต่ชะตากรรมเจ้าของผลงานตัวจริง ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
“จากคำให้การของ พล.ต.ต.ปวีณ ต่อทางการของประเทศออสเตรเลีย เพื่อใช้ขอลี้ภัย เป็นกระบวนการตามกฎหมายให้การสาบานว่าเป็นความจริงและได้รับการยอมรับจากประเทศปลายทางให้ลี้ภัยได้ อยากให้ตำรวจ ข้าราชการ ประชาชน เข้าไปดูคำให้การนี้ได้ที่ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊กของพรรคก้าวไกล และนึกทบทวนว่า ชีวิตงานราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่พวกท่านกลับมาเจอเรื่องแบบนี้หรือไม่”
โดยเดือนพฤษภาคม 58 พล.ต.ต.ปวีณ จะต้องตามหาพยานคนสำคัญ แต่ถูกปฏิเสธให้ข้อมูล จนต้องหาพยานขยายผลและออกหมายจับคนที่เกี่ยวข้อง ต่อมามีการค้นบ้านผู้ต้องหา จ.ระนอง พบหลักฐานการโอนเงินของผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ลงชื่อหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการค้ามนุษญ์รายใหญ่ จ.ระนอง มีสายสัมพันธ์โยงใยนายทหารคนหนึ่งที่อยู่ในรัฐบาลนี้ด้วย
นอกจากนี้ลูกสาวของหญิงคนดังกล่าวเพิ่งถูกจับเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา น่าแปลกมากที่มาจับได้หลังไทยโดนลดระดับ Tier 2 Watch List จึงสงสัยต้องเร่งทำผลงานเพราะถูกลดระดับ Tier 2 Watch List หรือไม่ ซึ่งอุปสรรคที่ พล.ต.ต.ปวีณ ต้องเจอคือการขัดขวางกระบวนการสืบสวน การปิดบังพยานหลักฐาน โดยตำรวจ เพื่อนร่วมอาชีพ นี่คือส่วนต่อขยายของขบวนการทั้งหมดที่แฝงอยู่ในหน่วยงานตำรวจ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่คุมตำรวจเวลานั้น เคยรู้อะไรหรือไม่
ปวีณเปิดใจครั้งแรก
ล่าสุดวันนี้มติชนรายงานว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ ปัจจุบันเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบออนไลน์ โดยคุยกับ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล และนางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า เปิดใจครั้งแรกถึงกรณีการอภิปรายเปิดเผยความไม่ชอบมาพากลเรื่องอื้อฉาวในการสืบสวนคดีค้ามนุษย์ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุว่า
“วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องความทุกข์ที่สร้างความเครียดเรื่องหนึ่งในชีวิต นับแต่ต้องหนีออกจากประเทศไทย จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน 3 วัน จากการถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก สตช. จากรัฐบาล และผู้มีอำนาจ จากการอภิปรายของพรรคก้าวไกลกับการเปิดเผยเรื่องราวที่ผ่านมา ขอยืนยันว่านั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง” พล.ต.ต.ปวีณระบุ
“ทุกวันนี้ผมต้องใช้ชีวิตเหมือนผู้ลี้ภัย ต้องมาเรียนภาษา เหมือนคนซีเรีย เลบานอน หรือเหมือนคนพม่า ต้องเรียน หางานทำเลี้ยงชีพ ผมไม่รู้ตัวมาก่อน ภาษาก็ไม่ได้ ทรัพย์สินก็ไม่มี ถึงเวลานี้ผมรู้สึกได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งขาดหายไป
เสียดาย หากวันนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยแท้จริง มีนายกฯและผู้บริหารทุกระดับที่อยากให้ประเทศใสสะอาด มีความซื่อสัตย์ กล้าหาญ ให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเที่ยงตรงเหมือนนานาอารยประเทศ ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปอย่างสุดทาง ชีวิตราชการของผม ความสามารถของผม ประสบการณ์ของผม มั่นใจว่าจะสาวไปถึงปลาตัวใหญ่อีกหลายตัวแน่นอน นี่คือความรู้สึกที่อยากจะบอกทุกคนครับ” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว
ก้าวไกลอยากเห็นปวีณกลับไทย
ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจของพรรคก้าวไกลที่จะต้องทวงถาม และใช้ทุกกลไกที่เรามีเดินหน้าทลายขบวนการการค้ามนุษย์เพื่อเอาพยานหลักฐาน ข้อมูลที่ พล.ต.ต.ปวีณ ได้รวบรวมเอาไว้ถึง 270,000 แผ่นกระดาษ เพื่อไม่ให้ขบวนการแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งขบวนการแบบนี้ไม่ใช่แค่กัดกินคนที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ขบวนการแบบนี้คือการทำให้ระบบราชการ คนดี ๆ จำนวนมากไม่มีที่ยืนในสังคม
ยืนยันว่าภารกิจนี้เราไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับข้าราชการน้ำดี แต่เรากำลังเป็นศัตรูกับคนชั่ว ข้าราชการที่ต้องการแสวงหาประโยชน์เข้าสู่ตัวเอง ตนมองว่ากรณีของ พล.ต.ต.ปวีณนี้เป็นจุดที่เราเห็นว่าประเทศไทยมาถึงจุดวิกฤต สังคมที่แม้คนจะทำงานดีที่สุดไม่โกงกินก็อยู่ไม่ได้
“ยืนยันว่าพรรคก้าวไกลเราอยากเห็น พล.ต.ต.ปวีณกลับมาไทยอย่างปลอดภัย อยากเห็นการทลายเครือข่ายค้ามนุษย์ การขยายผลที่มากไปกว่า พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ที่ถูกจำคุกคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา อยากเห็นคนที่อยู่ในทำเนียบปัจจุบันนี้ต้องรับผิดชอบกับความอยุติธรรม” นายรังสิมันต์กล่าว
ไม่ถอนคำว่า “อำมหิต”
นายรังสิมันต์ยังกล่าวถึงกรณีที่ยอมออกจากห้องประชุมสภาหลังไม่ยอมถอนคำพูดว่าอำมหิต ที่ได้ใช้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ตนยังยืนยัน ก็ไม่เข้าใจว่าการใช้คำว่าอำมหิตจะผิดตรงไหน ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ การค้ามนุษย์เกิดขึ้น
ตนนำข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ต้องมีส่วนรับผิดชอบอย่างไรต่อการที่ พล.ต.ต.ปวีณต้องลี้ภัย และการค้ามนุษย์ แต่สิ่งที่เกิดคือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบคำถาม แม้ยังอยู่บนที่นั่งในห้องประชุม แล้วยังขออนุญาตประธานสภาออกห้องไปแบบไม่ตอบคำถาม ตนเลยรู้สึกว่าการค้ามนุษย์มันร้ายแรง แล้วทำไม พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นนายกฯ ถึงไม่ตอบคำถามนี้
ราวกับส่งสัญญาณว่าการค้ามนุษย์ การมีเจ้าหน้าที่รัฐไปเกี่ยวข้องเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย และยิ่งได้เห็นภาพที่ชาวโรฮีนจากินใบไม้เพื่อประทังชีวิต โดยส่วนตัวเองนั้นรับไม่ได้ เลยไม่รู้จะใช้ไหนเลยใช้คำว่าใจดำ อำมหิต