ญี่ปุ่นจับมือสหรัฐฯผลักดันโครงการใหม่ ต้าน”เส้นทางสายไหมศตวรรษ 21″ของจีน

US President Donald Trump shakes hands with Japanese Prime Minister Shinzo Abe (R)during a joint press conference at Akasaka Palace in Tokyo on November 6, 2017. President Donald Trump lashed out at the US trade relationship with Japan, saying it was "not fair and open", as he prepared for formal talks with his Japanese counterpart. / AFP PHOTO / POOL / Kiyoshi Ota

วอยซ์ ออฟ อเมริกา รายงานว่า ระหว่างที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เยือนญี่ปุ่นได้มีการพูดถึงความร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ หรือ Partnership for Quality Infrastructure

นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เป็นผู้ผลักดันโครงการดังกล่าว โดยอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตรหลัก คือ สหรัฐฯ อินเดีย และออสเตรเลีย โดยมีเป้าหมายเพื่อแข่งขันกับโครงการ Belt and Road Initiative (หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง) ของจีน

ผู้นำของ 4 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ อินเดีย และออสเตรเลีย มีกำหนดหารือ 4 ฝ่าย เกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ในวันที่ 13 – 14 พ.ย. นี้ ระหว่างการประชุม East Asia Summit ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการนี้

นักวิเคราะห์เชื่อว่า การเจรจา 4 ฝ่ายจะทำให้จีนต้องกลับไปตั้งหลักเพื่อพิจารณายุทธศาสตร์ของโครงการ Belt and Road ใหม่ และก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้ออกมากล่าวว่า จีนหวังว่าการเจรจาดังกล่าวจะไม่กระทบถึงผลประโยชน์ของประเทศอื่น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางญี่ปุ่นจะระบุถึงความกังวลของหลายประเทศ หลังจากที่จีนได้เข้าควบคุมจัดการท่าเรือและสนามบินหลายแห่งในหลายประเทศในเส้นทางของโครงการ Belt and Road

แอนดรูว์ สมอลล์ นักวิชาการแห่ง Asia Program of the German Marshall Fund กล่าวว่า ญี่ปุ่นต้องการเสนอทางเลือกอื่นนอกเหนือไปจากโครงการ Belt and Road และเพื่อส่งข้อความว่าประเทศในภูมิภาคนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจีนอย่างเดียว เพราะการพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจมากเกินไปนั้น อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเมืองของผู้นำประเทศเหล่านั้นได้

ถึงกระนั้น นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า โดยเปรียบเทียบแล้ว จีนล้ำหน้าญี่ปุ่นอยู่มากในโครงการสาธารณูปโภค เนื่องจากที่ผ่านมา จีนเลือกลงทุนในประเทศเล็กๆ ที่ด้อยพัฒนาก่อน เพื่อดึงประเทศเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของจีน แทนที่จะไปเข้ากับสหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น

 

ที่มา VOA Thai