
สพฐ.เปิด 11 สาเหตุ ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ปี 2564 เด็กออกกลางคันกว่า 2.8 หมื่นคน ล่าสุดดึงกลับมาเรียนได้แล้วกว่า 99%
วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการพาน้องกลับมาเรียน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า มีเด็กบางกลุ่มหลุดออกนอกระบบการศึกษาด้วยหลายสาเหตุหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่ทำให้มีเด็กต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาเป็นจำนวนมาก
โดยในส่วนของสพฐ. มีหน้าที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้องดูแลอย่างทั่วถึงเท่าเทียมทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ก็ได้ติดตามนักเรียนกลับมา โดยใช้ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเป็นปกติของครูและสถานศึกษา ที่จะติดตามเยี่ยมบ้านถ้าเด็กขาดเรียน หรือไม่มาโรงเรียนเกิน 3–7 วัน
11 สาเหตุทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา
นายอัมพรกล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2565-2566 สพฐ.ได้ทำการวิจัยเรื่องเด็กหลุดจากระบบการศึกษาด้วยรูปแบบ Design Research in Education โดยพบ 11 สาเหตุที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ได้แก่
- ความจำเป็นของครอบครัว
- การย้ายถิ่นที่อยู่
- รายได้ไม่เพียงพอ
- ปัญหาสุขภาพหรือความพิการ
- ปัญหาความประพฤติหรือการปรับตัว
- ผลกระทบจากโควิด 19
- การเสี่ยงต่อการกระทำผิด
- การคมนาคมไม่สะดวก
- การสมรส
- ผลการเรียน
- ผู้ปกครองไม่ใส่ใจ
ปี’64 เด็กหลุดออกนอกระบบ 2.8 หมื่นคน
นายอัมพรกล่าวต่อว่า ตัวเลขเด็กหลุดออกจากระบบที่พบในปีการศึกษา 2564 หรือปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 28,134 คน สามารถติดตามพบตัว 28,038 คน นำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็นรายบุคคล มีทั้งที่กลับเข้าเรียนในสถานศึกษาของ สพฐ. ทั้งโรงเรียนเดิม โรงเรียนใหม่ สถานศึกษาอาชีวศึกษา รวมถึงการศึกษานอกระบบในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) และโรงเรียนพระปริยัติธรรม
ขณะเดียวกันมีเด็กที่ติดตามไม่พบตัว 22 คน และเสียชีวิต 74 คน ส่วนปีการศึกษา 2565 หรือปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 2,835 คน ซึ่งเป็นตัวเลขการออกกลางคันที่ลดลง และได้ติดตามกลับเข้ามาเรียนแล้ว และบางส่วนก็เป็นเด็กที่ข้ามมาเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่กลับเข้ามาเรียนต่อ
นำกลับเข้าระบบแล้ว 99%
นายอัมพรกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินการดังกล่าวต้องถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถนำเด็กกลับเข้าระบบและให้ความช่วยเหลือตามความต้องการของเด็กถึง 99.66% แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวล คือจะทำอย่างไรจึงจะรักษาเด็กกลุ่มนี้ไว้ไม่ให้หลุดออกจากระบบซ้ำอีก
ขณะเดียวกันก็มีปัญหาใหม่อีกว่า เด็กที่เรียนอยู่ก็มีแนวโน้ม หรือมีความเสี่ยงจะหลุดออกจากระบบเป็นกลุ่มใหม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับ สพฐ.ทำให้ ต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ สพฐ.จึงได้มีนโยบายต่อเนื่องโดยทำโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนแห่งความสุข ประกาศนโยบายโรงเรียนปลอดภัย และประกาศให้เดือนมิถุนายนเป็นเดือนแห่งการเยี่ยมบ้านนักเรียน
โดยให้โรงเรียนทุกโรง ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ลงเยี่ยมบ้านนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้ทราบถึงความเป็นอยู่ และความต้องการจำเป็นที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้อย่างยั่งยืน