ชี้เป้าซื้อกองทุน SSF-RMF ประหยัดภาษี ได้รีเทิร์นสูง

ช่วงปลายปีแบบนี้กองทุน SSF และกองทุน RMF กลับมาอยู่ในความสนใจของทุกคนอีกครั้งนะครับ เพราะเป็นเครื่องมือที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการลดหย่อนภาษี

วันนี้ “ประชาชาติ เวลธ์“ เล่าเรื่องการลงทุน ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด ว่ามีธีมไหนกันบ้างที่สามารถสร้างผลตอบแทนและรีเทิร์นสูง

Q: ชี้เป้าวิธีการเลือกซื้อกองทุน SSF-RMF ธีมหรือกองประเภทไหน ที่ดูแนวโน้มเติบโต

ส่วนใหญ่กองทุนลดหย่อนภาษี SSF-RMF ที่เราลงทุนกันมา ใครที่ครบ 10 ปีปุ๊บ และสามารถขายได้และกลายเป็นว่าขายออกมาผลตอบแทนขาดทุนด้วยซ้ำ หรือผลตอบแทนออกมา เงินฝากประจำอาจจะได้ดอกเบี้ยเยอะกว่า ต้องยอมรับว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพราะว่ากองทุนเหล่านั้นที่เราลงทุน อาจจะไปโฟกัสอยู่ที่ตลาดหุ้นไทยเพียงตลาดเดียว

ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เคลื่อนไหวในกรอบไซด์เวย์ มีบางช่วงบวก มีบางช่วงลบ กลายเป็นว่าตลาดไม่ไปไหน แถมบางช่วงตลาดมีการปรับฐานด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นอย่างที่หนึ่งคือ ชัดเจนแล้วว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในแง่ของการลงทุนในระยะยาว

ในอดีตที่ผ่านมา คำถามคือ ในระยะยาว และอีก 10 ปีข้างหน้าตลาดหุ้นไทยยังใช่หรือเปล่า ในมุมของทีม Investment ของฟินโนมีนา ก็ยังมองว่าโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นอาจจะมีโอกาสที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดหุ้นไทย โดยตลาดที่เราชอบนั่นก็คือตลาดหุ้นสหรัฐ

ตลาดหุ้นสหรัฐ 30 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอัตราผลตอบแทนแบบทบต้นอยู่ที่ประมาณ 9% โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 10 ปีย้อนหลังมานี้ ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่แถว ๆ ประมาณ 12% รวมกับช่วง Period ของการมี Trade War สงครามการค้ากับจีน ช่วง Period ของโควิดที่ผ่านมาด้วยเช่นเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าบริษัทที่แข็งแกร่งจริง ๆ บริษัทที่คุณภาพสูง มักจะถูกจดทะเบียนและ List อยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา

เพราะฉะนั้นอเมริกาจึงดีในเรื่องนี้ครับว่า ผู้บริหารเก่ง ๆ เทคโนโลยีที่นำสมัย และตลาดค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามกลไกตลาด ปรับฐานทุกครั้งสามารถรีบาวนด์กลับมาทำนิวไฮใหม่ได้ทุกครั้ง มักจะเป็นหุ้นที่อยู่ในบริษัทอเมริกา เพราะฉะนั้นแนะนำว่า SSF กับ RMF ในปีนี้ ใครที่ไม่เคยมีหุ้นอเมริกา หรือกองทุนรวมอเมริกาอยู่ในพอร์ตเลย แนะนำว่าลองดูนะครับ

กองทุนที่ทางฟินโนมีนาแนะนำจะชื่อว่า AFMOAT-HA ซึ่งมีทั้งกองทุนลดหย่อนภาษีแบบ SSF และ RMF คำว่า MOAT มาจากคำว่าป้อมปราการ ก็คือต้องเป็นหุ้นที่เป็นผู้นำในตลาด ในธุรกิจที่ตัวเองทำ มีป้อมที่ทำให้คู่แข่งเข้ามาอยู่ในการแข่งขันได้ลำบาก มี Economies of Scale (การประหยัดต่อขนาด) และก็รายได้กับยอดขายต้องเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งช่วงที่ผ่านมาตัว AFMOAT-HA กองนี้ ก็สามารถทำผลตอบแทนได้ดีแล้วชนะตัว S&P500 ตัว INDEX ที่ Performance ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ INDEX ตัวอื่น นี่คือตัวนึงที่เราแนะนำครับ

Q: รีเทิร์นหุ้นไทยปีนี้แย่ ถ้าดูกองทุนหุ้นไทยเป็นจังหวะที่จะเข้าไปลงทุนได้ไหม

ต้องบอกว่าตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีเป็นหนึ่งในตลาดที่ underperform ที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้ยังขายอยู่อีกประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ช่วงที่เห็นระยะสั้น ๆ นี้ ที่เห็นมุมนึงที่อาจจะเปลี่ยนไปก็คือ เราเริ่มเห็นทิศทางดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงแล้วทำให้ค่าเงินบาทแข็งกลับมา นั่นแสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนต่างชาติเริ่มเอาเงินกลับมาในไทย เพียงแต่ว่าพอลองไปดูรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เรายังไม่เห็นยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งผมเชื่อว่าสักพักนึงยอดซื้อสุทธินี้จะมา

ถามว่าแล้วตัวไหนเป็นปัจจัยกระตุ้นที่จะทำให้หุ้นไทยวิ่งกลับขึ้นมาได้ ตัวแรกเลยคือ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นหุ้นภาคการบริโภค หุ้นภาคการท่องเที่ยว หรือว่าหุ้นภาคการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นพวกนี้จะเป็นธีมหลัก ๆ ที่จะสามารถพยุงหุ้นไทยไทย

แต่ในภาพรวมตลาดหุ้นไทยตัว INDEX อาจจะไม่ขึ้นแรง ก็ด้วยหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ก็คือเราอยู่ในช่วงที่ราคาน้ำมันอาจจะไม่ได้ดีดกลับขึ้นไป เพราะฉะนั้นหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาดบ้านเรา พอราคาน้ำมันไม่ขึ้นหุ้นกลุ่มพลังงานก็อาจจะไม่ได้ขึ้นด้วยซ้ำ หรืออาจจะปรับฐานมากขึ้นและจะกดดันดัชนีทำให้วิ่งไม่เต็มที่ ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นใครจะลงทุนในหุ้นไทย ทั้งกองลดหย่อนภาษี หรือว่าจับจังหวะในการซื้อหุ้นรายตัว แนะนำว่าต้องเลือกโฟกัสเป็นรายธุรกิจ ซื้อเป็น INDEX อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีครับ

Q: ฝั่งตลาดทุนไปหารือคลังขอปรับเงื่อนไข SSF เสนอตั้งกองทุนภาษีใหม่ อยากเสนอแนวทางอย่างไร

พูดในนามของผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน และในนามของนักลงทุน ผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนรวมด้วย ก็คือก่อนหน้านี้ที่เรามีตัว LTF และ SSF และ RMF ตัว LTF ถูกแยกวงเงินสิทธิในการซื้อออกมาจากตัว RMF และที่เป็น Provident Fund เพราะฉะนั้นเอาสองวงเงินรวมกัน แปลว่าผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้วงเงินละ 5 แสนบาท รวมกันเป็น 1 ล้านบาท แต่กลายเป็นว่า SSF กับ RMF ข้อจำกัดคือ ไม่ว่าคุณจะลงทุนกองทุนประเภทไหน แต่อยู่ในวงเงินเดียวกัน รวมกันไม่เกิน 5 แสนบาท

เพราะฉะนั้นผู้ใช้สิทธิในการลงทุนหายไป 5 แสนบาท เพราะฉะนั้นคือ เงื่อนไขหนึ่งที่ผมคิดว่าผู้ลดหย่อนภาษีอยากจะได้ก็คือว่า ถ้าจะออกเป็นกองทุนใหม่อย่าเอาไปรวมกับวงเงินเดียวกันเดิมของ SSF และ RMF ข้อที่สองถ้าอยากจะผลักดันช่วยตลาดหุ้นไทยจริง ซึ่งชัดเจนตั้งแต่เรายุติตัว LTF ไป พอสิ้นสุดไปแล้ว ทางกระทรวงการคลังไม่ได้ต่อเงื่อนไขในการให้ลดหย่อนภาษีต่อ และพอเปิดกอง SSF มา โดยที่กอง SSF มีนโยบายไม่จำกัดเฉพาะลงทุนในหุ้นไทย ปรากฏว่านักลงทุนก็เริ่มรู้ตัวว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน แต่อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษี จึงไม่ซื้อหุ้นไทย ไปซื้อกองทุนหุ้นต่างประเทศซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า

เพราะฉะนั้นว่าถ้าอยากจะสนับสนุน แปลว่านโยบายหรือกฎหมายที่ออกมาก็อาจจะพุ่งเป้าไปที่หุ้น ESG ที่อยู่ในประเทศ หรือหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในประเทศเท่านั้น ถ้ายังอย่างนี้จะช่วยพยุงหุ้นไทยได้ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญถ้าสมมุติว่ากรมสรรพากรคุยกับตลาดหลักทรัพย์ฯ คุยกับกระทรวงการคลัง และออกมาในแนวทิศทางอย่างนี้ อาจจะเป็นหนึ่ง Factor สำคัญ หรือหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้าจากกองทุนพวกนี้ในระยะยาว ก็เป็นไปได้

เพราะว่าอย่างเฉพาะปีนี้ปีเดียว ผมเข้าใจว่ากอง LTF ที่ซื้อใหม่ ไม่ได้ลดหย่อนภาษี มีแต่เงินขายออกมา ซึ่งเอาเฉพาะตอนครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เงินออกไปก็มากกว่า 10,000 ล้านบาท ทีเดียว ซึ่งเงินเหล่านี้ผมคิดว่าคงไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนต่างประเทศ

แล้วก่อนหน้านี้ก็คือเราเห็นประกาศจากกรมสรรพากรออกมาแล้วว่า จะมีการเก็บภาษีเงินได้จากรายได้ที่มาจากต่างประเทศ ถ้าเราออกกองทุนช่วยลดหย่อนภาษีอย่างนี้ จะสามารถดึงเม็ดเงินเหล่านี้ไม่ให้ออกไปข้างนอก เพราะฉะนั้นจะเป็นมาตรการที่ช่วยและสนับสนุนเอื้อกัน เพราะฉะนั้นผมยังมีหวังกับหุ้นไทยอยู่ครับ