สภาพัฒน์ แนะเพิ่มค่าแรงตามทักษะแรงงาน ดีกว่าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

ทักษะแรงงาน

สภาพัฒน์เผยตลาดแรงงานไทยปรับตัวดีขึ้น อัตราว่างงานเหลือ 0.98% กลับสู่ระดับก่อนโควิด ขณะที่ค่าจ้างลดลง 0.2% แนะ Upskill-Reskill แรงงานจะช่วยยกระดับรายได้ตามทักษะการทำงาน มากกว่าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

วันที่ 4 มีนาคม 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การจ้างงาน ณ ไตรมาส 3 ปี 2566 การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 0.81% หรือมีผู้ว่างงาน 3.3 แสนคน โดยลดลงทั้งผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนและไม่เคยทำงานมาก่อน

“อัตราว่างงานเฉลี่ยทั้งปี 2566 ลดลงเหลือ 0.98% กลับไปสู่ระดับก่อนโควิดในปี 2562 หลังจากก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2563-2565 อัตราการว่างงานไทยสูงกว่าระดับ 1% มาโดยตลอด” นายดนุชากล่าว

ขณะที่จำนวนผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 40.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 1.7% สอดคล้องกับจำนวนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 46.9 ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 1.1% และจำนวนผู้ทำงานล่วงเวลา (OT) หรือผู้ที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อยู่ที่ 6.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.1%

อย่างไรก็ตาม ค่าจ้างแรงงานในภาพรวมไตรมาส 4 ปี 2566 กลับลดลง 0.2% อยู่ที่ 15,382 บาทต่อคนต่อเดือน โดยค่าจ้างเฉลี่ยที่ลดลงอาจเป็นผลมาจากปัญหาแรงงานไทยขาดทักษะที่นายจ้างต้องการ

“เพื่อปัญหาเหล่านี้ ภาครัฐควรต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยพัฒนาทักษะแรงงาน เช่น Upskill และ Reskill นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีโครงการอบรมแรงงานระยะสั้น ๆ 3-6 เดือน เพื่อช่วยยกระดับรายได้แรงงาน ต้องทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นตามฐานของทักษะที่เพิ่มขึ้นมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องทำให้แรงงานมีทักษะเพิ่มขึ้นมากกว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ” ดนุชากล่าว

ตามข้อมูลของสภาพัฒน์ยังระบุอีกว่า สัดส่วนแรงงานไม่มีฝีมือ (Unskilled Labour) ในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นมีสัดส่วนถึง 43.6% ในปี 2565 ของกำลังแรงงานทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 26.2% ในปี 2560 โดยสาเหตุอาจมาจากภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคอุตสาหกรรมเดิม (Traditional Industries) ไม่ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ (New Industries)