สรรพสามิต ขยายผล จับเหล้า-ไวน์หนีภาษี กว่า 4 พันขวด

กรมสรรพสามิต ขยายผลสืบค้นทางช่องทางออนไลน์ ตรวจพบมีขบวนการลักลอบนำเหล้าและไวน์หนีภาษี จากชายแดนภาคเหนือ มาส่งในพื้นที่สมุทรปราการ พบของกลาง จำนวน 4,447 ขวด ประมาณการค่าปรับเป็นเงิน 57,124,140 บาท

วันที่ 7 มีนาคม 2567 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงการปราบปรามและจับกุมขบวนการผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560  ซึ่งกรมสรรพสามิต ได้ยกระดับการทำงานเชิงรุกด้วยการเปิดศูนย์ปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายออนไลน์และนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงานตามยุทธศาสตร์ EASE Excise เพื่อปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายที่ไม่ได้เสียภาษี

นายเอกนิติกล่าวว่า จากการที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต สืบทราบว่ามีการจำหน่ายสินค้าออนไลน์

หนีภาษี จึงได้มีการติดตามตรวจสอบและสืบค้นจนทราบว่าขบวนการลักลอบนำเหล้าและไวน์ที่มิได้เสียภาษีจะมาส่งในพื้นที่ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อทำการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสินค้าเหล่านี้มีการลักลอบนำเข้าโดยไม่ได้เสียภาษีจากพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ กรมสรรพสามิตจึงได้ทำการสืบค้นติดตามจนทราบถึงแหล่งที่มา วิธีการลำเลียงสินค้า และข้อมูลต่าง ๆ จนทำให้สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ในครั้งนี้

ผลการจับกุมพบผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย และของกลางที่มิได้เสียภาษี ประกอบด้วย เหล้า และไวน์ต่างประเทศ จำนวน 4,447 ขวด ประกอบด้วย

    1. Jack Daniel’s จำนวน 1,200 ขวด
    2. Johnnie Walker Red Label จำนวน 59 ขวด
    3. 100 Reserve จำนวน 1,200 ขวด
    4. John Lee จำนวน 47 ขวด
    5. Negrita Rhum จำนวน 95 ขวด
    6. Negrita Spiced จำนวน 47 ขวด
    7. Escudo Rojo จำนวน 1,200 ขวด
    8. Penfolds Bin 2 จำนวน 599 ขวด

โดยมูลค่าของกลางรวม 5,949,458 บาท คิดเป็นประมาณการค่าภาษี 1,269,425.32 บาท และคิดเป็นประมาณการค่าปรับ 57,124,140 บาท

นายเอกนิติกล่าวเพิ่มเติมว่า หากสินค้ามิชอบด้วยกฎหมายเหล่านี้เล็ดลอดไปได้ จะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องความชอบธรรมต่อผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต รวมถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชนชาวไทยที่บริโภคสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการปราบปรามสินค้ามิชอบด้วยกฎหมายโดยมีการยกระดับการทำงานทั้งระบบ รวมถึงการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกอย่างต่อเนื่องเพื่อบูรณาการความร่วมมือ

ให้การทำงานของทุกฝ่ายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตามยุทธศาสตร์ของกรมสรรพสามิต ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมานั้น กรมสรรพสามิตได้มีมาตรการปรับลดอัตราภาษีไวน์ สุราแช่ และสถานบริการ ตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง การท่องเที่ยวและการใช้จ่าย ตามที่กรมสรรพสามิต ภายใต้สังกัดกระทรวงการคลังได้เสนอ

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 โดยมาตรการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงเสริมจุดแข็ง ด้านราคาในระดับภูมิภาค นำไปสู่การเพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้ไวน์ สุราแช่ และสถานบริการ เข้าระบบการชำระภาษีที่ถูกต้องเนื่องจากมีการปรับลดอัตราภาษีลงจนทำให้ราคาของภาษีต่ำลงกว่าเดิม โดย

  • อัตราภาษีไวน์และสปาร์กลิ้งไวน์ที่ทำจากองุ่น เดิมเก็บภาษีตามมูลค่า ราคาขายปลีกแนะนำเกิน 1,000 บาท ที่ 10% และราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 1,000 บาท ที่ 0% ปรับเป็นจัดเก็บอัตราเดียวที่ 5% และ

ปรับลดอัตราภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์ จาก 1,500 บาทต่อลิตรที่ 100 ดีกรี เหลือ 1,000 บาทต่อลิตรที่ 100 ดีกรี

  • อัตราภาษีฟรุตไวน์ หรือสุราแช่ผลไม้ที่มีส่วนผสมขององุ่น หรือไวน์องุ่น เดิมเก็บภาษีตามมูลค่า ราคาขายปลีกแนะนำเกิน 1,000 บาท ที่ 10% และราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 1,000 บาท ที่ 0% ปรับลดเหลือ 0% ทั้งหมด และอัตราภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์ เป็นอัตราเดิม 900 บาทต่อลิตรที่ 100 ดีกรี

“ดังนั้นการที่สินค้าไวน์และสุราแช่ที่มีการจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าปกติจากราคาตลาด รวมถึงไม่ได้

มีการเสียภาษี จึงอาจเป็นสินค้าปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะเป็นอันตรายและส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพต่อผู้บริโภค” นายเอกนิติกล่าวในตอนท้าย