เปิดขั้นตอนหิ้วของมีราคาเกิน 20,000 บาทเข้าไทย ต้องจ่ายภาษียังไงตามระบบกรมศุลกากร
หลายครั้งที่กรมศุลกากรตกเป็นกระแสสังคม โดยเฉพาะจากกรณีล่าสุดเมื่อสาวรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา กรณีถูกกรมศุลกากรที่สนามบินสุววรณภูมิปรับภาษีสินค้าแบรนด์เนมกว่า 54,000 บาท
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าเข้ามาหากเป็นจำนวนมาก หรือมูลค่าเกิน 20,000 บาท จะต้องสำแดงสินค้าต่อเจ้าพนักงานศุลกากร และต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนดด้วย “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมรายละเอียดมาให้ ดังนี้
ของส่วนตัวไม่ต้องสำแดง
- ประเภทของส่วนตัวมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท
- ไม่มีเป็นลักษณะทางการค้า เช่น นาฬิกา กระเป๋า กล้องถ่ายรูป รองเท้า
- แอลกอฮอล์ไม่เกิน 1 ลิตร
- บุหรี่ 200 มวน หรือซิการ์หรือยาเส้นอย่างละ 250 กรัม หรือหลายชนิดรวมกันมีน้ำหนักทั้งหมด 250 กรัม และบุหรี่ต้องไม่เกิน 200 มวน
ของที่ต้องสำแดง
- ของส่วนตัวที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาท หรือของที่มีลักษณะทางการค้า แม้ว่าจะมีมูลค่าต่ำกว่า 20,000 บาท
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิน 1 ลิตร บุหรี่เกิน 200 มวน ซิการ์หรือยาเส้นเกิน 250 กรัม
สิ่งของที่ต้องมีใบอนุญาต
- ยาอาหารเสริม
- สัตว์เลี้ยง
- เครื่องสำอาง
- อาวุธปืน
- พืช
- โดรน
ขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากรช่องแดง
- นำกระเป๋าสัมภาระไปพบเจ้าหน้าที่
- เปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ตรวจสัมภาระและสิ่งของ
- ประเมินราคาและค่าภาษีอากร
- ชำระภาษีอากร
ของต้องห้ามเข้าประเทศ
- ยาเสพติด
- บารากู่
- บุหรี่ไฟฟ้า
- วัตถุลามก
- ของละเมิดลิขสิทธิ์
- ของเลียนแบบเครื่องหมายทางการค้า
เปิดอัตราอากรขาเข้าแต่ละประเภท
- เสื้อผ้า, หมวก, เข็มขัด, รองเท้า, เครื่องสำอาง, น้ำหอม คิดภาษี 30%
- กระเป๋าแบรนด์เนม, คิดภาษี 20%
- โทรศัพท์, กล้อง, คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์, เมาส์, อุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ แผงวงจรไฟฟ้า ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า แต่ยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
- นาฬิกาข้อมือ, แว่นตา, แว่นกันแดด คิดภาษี 5%
หากตรวจพบจะมีความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากร ต้องถูกริบของและปรับเงิน 4 เท่าของราคารวมภาษีอากร หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
วิธีการคำนวณอัตราอากรขาเข้า
- อากรขาเข้า = ราคาสินค้า x อัตราภาษีขาเข้า
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ราคาสินค้า + อากรขาเข้า) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
- ภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ = อากรขาเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม
รู้จักราคาตามความตกลงแกตต์
ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมศุลกากร ระบุว่า ในกรณีของนำเข้า หมายถึง ราคาของ ของเพื่อความมุ่งหมายในการจัดเก็บอากร ปัจจุบันประเทศไทยใช้ราคาศุลกากร ที่เรียกว่า “ระบบราคาแกตต์ (GATT Valuation)” ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO)
ในการกำหนดราคาสินค้าขาเข้า ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีความตกลงว่าด้วยการนำมาตรา 7 ของความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า 1994 มาถือปฏิบัติ (Agreement on Implementation of Article VII of the General Agreement on tariffs and Trade 1994) ปกติการกำหนดราคาศุลกากรจะอยู่บนพื้นฐานของราคาซื้อขายของที่นำเข้า ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ซื้อจ่ายหรือพึงจ่ายจริงให้กับผู้ขายในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ราคาซื้อขายของที่นำเข้านั้น จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ เช่น การซื้อขาย ผู้ซื้อกับผู้ขายต้องไม่มีความสัมพันธ์กัน หรือการซื้อขายนั้นต้องไม่มีเงื่อนไขอย่างอื่นอีก
ราคาศุลกากรคืออะไร
ราคาศุลกากร คือ ราคาที่ถูกกำหนดเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บภาษีอากร ทั้งนี้ เป็นไปตามที่กฎหมายศุลกากร กฎกระทรวงฉบับที่ 132 (พ.ศ. 2543) และกฎกระทรวงอื่น ๆ ได้กำหนดไว้
6 วิธีการกำหนดราคาศุลกากร
การกำหนดราคาศุลกากรตามหลักการของแกตต์ กำหนดจาก 6 วิธี
วิธีที่ 1 ราคาซื้อขายของที่นำเข้า (Transaction value) หมายถึง ราคาซื้อขายที่ผู้ซื้อสินค้าได้ชำระจริงหรือที่จะต้องชำระให้กับผู้ขายในต่างประเทศสำหรับของที่นำเข้า ซึ่งได้มีการปรับราคาหรือได้นำมูลค่าหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไปรวมด้วย เช่น ค่าวัสดุเสริม ค่านายหน้า หรือค่าสิทธิ เป็นต้น
วิธีที่ 2 ราคาซื้อขายของที่เหมือนกัน (Transaction value of Identical Goods) หมายถึง ราคาซื้อขายของที่มีลักษณะเหมือนกันทุกด้านกับของที่นำเข้า ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพ คุณภาพ และชื่อเสียง และต้องผลิตขึ้นในประเทศเดียวกันกับของนำเข้าด้วย
ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงค่าประกันภัย ค่าขนส่งของที่นำเข้ามายังด่านศุลกากรที่นำของเข้า ค่าขนของลง ค่าขนของขึ้น และค่าจัดการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งของมายังด่านศุลกากรที่นำของเข้าด้วย
วิธีที่ 3 ราคาซื้อขายของที่คล้ายกัน (Transaction value of Similar Goods) หมายถึง ราคาซื้อขายของที่ไม่เหมือนกันครบทุกด้านกับของที่นำเข้า แต่มีลักษณะหรือใช้วัสดุที่เป็นส่วนประกอบเหมือนกัน ผลิตในประเทศเดียวกัน และทำหน้าที่อย่างเดียวกันหรือทดแทนกันได้ในทางการค้า
ทั้งนี้ โดยพิจารณาถึงคุณภาพ ชื่อเสียง และเครื่องหมายการค้าของ ของที่นำเข้ากับของนั้น
วิธีที่ 4 ราคาหักทอน (Deductive Value) หมายถึง ราคาที่กำหนดขึ้นโดยใช้ราคาซื้อขายต่อหน่วยของ ของที่นำเข้า หรือราคาซื้อขายต่อหน่วยของ ของที่เหมือนหรือของที่คล้ายกันที่ได้ขายไปในประเทศไทย โดยหักทอนค่าใช้จ่ายบางส่วนออกไปเช่น ค่านายหน้า หรือกำไรและค่าใช้จ่าย ค่าขนส่งและค่าประกันภัยที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ค่าภาษีอากรในประเทศไทย มูลค่าเพิ่มของสินค้าที่เกิดขึ้นจากการประกอบหรือผ่านกรรมวิธีเพิ่มเติม
วิธีที่ 5 ราคาคำนวณ (Computed Value) หมายถึง ราคาที่กำหนดขึ้นจากต้นทุนการผลิตของสินค้าที่นำเข้า บวกกับกำไรและค่าใช้จ่ายทั่วไปที่รวมอยู่ตามปกติในการขายจากประเทศส่งออกมายังประเทศไทย รวมทั้งค่าภาชนะบรรจุ ค่าประกันภัย และค่าขนส่ง
วิธีที่ 6 ราคาย้อนกลับ (Fall Back Value) หมายถึง การกำหนดราคาโดยนำหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกำหนดราคาตามวิธีที่ 1-5 มาใช้โดยผ่อนปรนเพื่อการกำหนดราคาอย่างสมเหตุสมผล