เปิด 5 กลยุทธ์ ท่องเที่ยวไทยสู่ Tourism Hub หนุนปี 2025 โตแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

Tourism Hub

“สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รมว.การท่องเที่ยวฯ จุดพลังการท่องเที่ยวไทยสู่ Tourism Hub เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก รับนโยบายขับเคลื่อนท่องเที่ยวสู่เป้าหมาย Thailand’s Aviation Hub รองรับผู้เดินทางได้มากถึง 150 ล้านคนต่อปีในปี 2030 เดิน 5 กลยุทธ์หลักเพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวไทยปี 2025 ให้ปังกว่าเดิม เติบโตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

วันที่ 2 เมษายน 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี (เศรษฐา ทวีสิน) ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็น Tourism Hub และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก สอดรับกับการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Thailand’s Aviation Hub ที่จะรองรับผู้เดินทางได้มากถึง 150 ล้านคนต่อปีในปี 2030

ดังนั้นในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะปักหมุดการท่องเที่ยวไทยให้ปังกว่าเดิม โดยจะเพิ่มมิติใหม่แห่งการท่องเที่ยวและผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

โดยผลจากการประชุมระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนใน Workshop IGNITE Thailand’s Tourism เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะจุดพลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วยแนวคิด Up Level ผ่านประสบการณ์ที่เหนือกว่า Add Story เพิ่มเรื่องราวมากกว่าที่เคยสัมผัส และ Create Value สร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากความเป็นไทย ด้วย 5 กลยุทธ์หลักมัดใจนักท่องเที่ยวให้ปี 2025 เป็นปีที่นักท่องเที่ยวจะประทับใจในทุกย่างก้าว ทุกประสบการณ์ที่ได้สัมผัส และสะดวกสบายในทุก Touch Point

สำหรับ 5 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยจุดพลังขับเคลื่อนการท่องเที่ยว ได้แก่ 1.การยกระดับประสบการณ์จะโปรโมตการท่องเที่ยวไทยในทุกมิติ และสร้างความประทับใจตลอด Customer Journey ด้วยการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยก่อนการเดินทาง (Before Trip) ให้ข้อมูลครบถ้วนหลากหลาย

ทำโปรโมชั่นกับพันธมิตรให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ในทุกมิติ และระหว่างการเดินทาง (During Trip) จะให้ข้อมูลสำคัญกับนักท่องเที่ยวตั้งแต่บนเครื่องบิน เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการในสนามบิน และสร้างความประทับใจด้วยมัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวที่มีมาตรฐาน ความพร้อมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกสถานที่

ตลอดจนสร้างความน่าสนใจของเส้นทางการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดและพร้อมรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้พิการและผู้สูงอายุ (Tourism for All) และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ด้วย 1155 Call Center ซึ่งจะเป็น One-stop Service เชื่อมต่อตำรวจท้องที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยกระดับ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) ในการคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตให้ครอบคลุมนักท่องเที่ยว

โดยภายในระยะเวลา 3 เดือนจะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องรอคิวนานที่สนามบิน ยกระดับมาตรฐานโรงแรมทั่วประเทศพร้อมโปรโมชั่นที่พัก เปิดมาตรการ Free Visa ให้หลากหลายประเทศ ยกระดับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และดูแลความสะอาดห้องน้ำสาธารณะ

และภายในระยะเวลา 6 เดือนจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ การกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม กฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การจัดเก็บภาษีนำเข้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมระดับโลกให้แล้วเสร็จ และอำนวยความสะดวกให้มี VAT Refund ในหลายจุด

2.5 สิ่งที่ต้องทำในประเทศไทย จะชูเอกลักษณ์ไทย หรือเสน่ห์ไทย ด้วยการนำเสนอเรื่องราวและเพิ่มมูลค่าด้วยการนำจุดแข็งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมมาเป็นจุดขาย ได้แก่ Must Beat มวยไทย เปิดประสบการณ์แม่ไม้มวยไทย 4 ภาค และต่อยอดมวยไทยสู่การออกกำลังกายแบบ Cardio ในฟิตเนส

Must Eat อาหารไทย ต่อยอดครัวไทยสู่ครัวโลก พร้อมนำเสนอ 77 อาหารถิ่น 77 ขนมไทย ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของคนในแต่ละพื้นที่ Must Seek วัฒนธรรมไทย สร้าง Story บนเส้นทางศรัทธาเพื่อดึงดูดความสนใจ รวมถึงวัฒนธรรมสายมูที่กำลังโด่งดัง

Must Buy ผ้าไทย ร่วม Cobranding กับแฟชั่นดีไซเนอร์ระดับโลกให้ผ้าไทยเป็น Fashion Item ที่ทุกคนหลงใหล และ Must See โชว์ไทย นำเสนอทั้งรูปแบบไทยและ Thai Contemporary ให้เป็นที่ประทับใจของคนทั่วโลก

3.เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว จะเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองใกล้เคียง กระจายนักท่องเที่ยวไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ พร้อมทั้งกระจายรายได้สู่เมืองน่าเที่ยว อาทิ เส้นทาง Lanna Culture (เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง) ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ อารยธรรมล้านนา นำเสนอศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิตและประเพณีที่ถ่ายทอดผ่านสถาปัตยกรรม โบราณสถาน

เส้นทาง UNESCO Heritage Trail มรดกไทย มรดกโลก (สุโขทัย-กำแพงเพชร และนครราชสีมา) เส้นทาง NAGA Legacy (นครพนม สกลนคร บึงกาฬ) ตามรอยตำนานศรัทธาพญานาค Paradise Islands (ตรัง-สตูล) หมู่เกาะแห่งอันดามันใต้ สวรรค์แห่งท้องทะเล The Wonder of Deep South (ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส) ใต้สุดแห่งสยาม มนต์เสน่ห์แห่งพหุวัฒนธรรม โดยจะจัดเตรียมความพร้อม

พร้อมทั้งยกระดับที่พักให้มีความสะดวกสบาย และร้านอาหารที่ได้มาตรฐาน รวมถึงพัฒนาแพ็กเกจการเดินทางและโปรโมชั่นให้ตอบโจทย์ทุกเส้นทาง ตลอดจนรองรับ (Accommodate) เส้นทางในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่

4.Hub of ASEAN เปิดประตูการท่องเที่ยวสู่อาเซียนให้สามารถเชื่อมโยงการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้านพันธมิตรให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานให้การเดินทางท่องเที่ยวเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ให้อาเซียนเป็น Single Destination ด้วย ASEAN Pass จากความร่วมมือของพันธมิตรสายการบินในการออกแพ็กเกจตั๋วเครื่องบินให้นักท่องเที่ยวเดินทางเชื่อมต่อไปประเทศอาเซียน ด้วยความสะดวกสบาย ประหยัด และ Cross Border QR Payment อำนวยความสะดวกเรื่องช่องทางการชำระเงินให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายได้อย่างสะดวกสบาย

และ 5.World Class Event Hub ทำให้เมืองไทยเป็นศูนย์รวม World Class Experience จากการนำ Event ระดับโลกเข้ามาจัดแสดงในประเทศ ทั้งด้านดนตรี กีฬา อาหาร และไลฟ์สไตล์ อาทิ Summer Sonic Bangkok 2024, KAWS Arts, Moto GP, Volleyball World Championship เป็นต้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศ

“5 กลยุทธ์ข้างต้นจะช่วยจุดพลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย IGNITE TOURISM THAILAND สู่ Tourism Hub ให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น พำนักในประเทศไทยนานขึ้น และใช้จ่ายมากขึ้น ให้ประเทศไทยเป็นที่หนึ่งของการท่องเที่ยว ด้วยความร่วมมือร่วมใจจากคนไทยทุกภาคส่วน” นางสาวสุดาวรรณกล่าว

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การจะใช้ประเทศไทยเป็นเวทีต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากทั่วโลกได้ตามเป้าหมายนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน หน่วยต่าง ๆ ของรัฐ ที่ร่วมกันทำให้ IGNITE TOURISM THAILAND เป็น 1 ใน 8 จิ๊กซอว์สำคัญมากที่จะทำให้ท่องเที่ยวไทยกระจายไปสู่ทั่วโลก ซึ่งยังมีอีกหลายขั้นตอนที่จะต้องทำต่อไป

โดยประเทศไทยจะเป็นประเทศที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกด้วย 5 กลยุทธ์ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯได้กล่าวไปแล้ว ทุกกลยุทธ์ล้วนเกิดจากที่การคิดแบบครบทุกมิติ นับตั้งแต่นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้ามากระทั่งเดินทางกลับ

“น่าเสียดายที่ยังมีเวิลด์อีเวนต์อีกหลายงานที่ยังไม่ได้สรุป เชื่อว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะมีเวิลด์อีเวนต์อีกหลายงานที่จะทยอยเข้ามาจัดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง” นายเศรษฐากล่าวและว่า ประเทศไทยถือเป็นพี่ใหญ่ในด้านการท่องเที่ยวของ CLMV และพร้อมที่จะเป็นตัวเชื่อมในการเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายที่สูงสุด และพำนักนานขึ้น พร้อมยกระดับภูมิภาคอาเซียนให้ไปสู่ระดับโลกได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทันที และเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญและจะผลักดันต่อเนื่องต่อไปในอนาคต