บิ๊กมูฟอุตสาหกรรมชิปเขย่าโลก Intel – Micron ลงทุนครั้งใหญ่ในหลายประเทศ

อุตฯชิป

อุตสาหกรรมชิปหรือเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ มีความเคลื่อนไหวสำคัญในช่วงสัปดาห์กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

เป็นมูฟเมนต์ที่ทำให้เห็นทั้งความพยายามของภาคธุรกิจที่ต้องการขยายกำลังการผลิต และความพยายามของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการดึงให้บริษัทระดับโลกตั้งฐานการผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งฉายให้เห็นภาพนโยบาย Friend-shoring หรือการจำกัดห่วงโซ่อุปทานไว้เฉพาะในประเทศพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาชัดมากขึ้น

เมื่อเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่โลกต้องการ บริษัทผลิตชิปจึงอยู่ในสถานะ “เนื้อหอม” ได้รับข้อเสนอ-แรงจูงใจมากมายจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เพื่อให้เข้าไปตั้งโรงงานผลิต ซึ่งดีลที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดเกิดในประเทศที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา

อินเทล (Intel) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ซึ่งมีแผนลงทุนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ทั่วทวีปยุโรป เพิ่งประกาศเมื่อ 16 มิถุนายน 2023 ว่าจะใช้เงินลงทุนสูงถึง 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท) สำหรับโรงงานประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่ในเมืองวรอตสวัฟ (Wroclaw) ทางตะวันตกของโปแลนด์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ภายในปี 2027

อินเทลให้เหตุผลที่เลือกตั้งโรงงานใหม่ในโปแลนด์ว่า เพราะโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรกลุ่ม tech talent ที่โปแลนด์มี อีกทั้งที่ตั้งของโรงงานนี้อยู่ใกล้กับโรงงานที่จะสร้างในเยอรมนี และไอร์แลนด์

ขณะเดียวกัน แผนสร้างคอมเพล็กซ์สำหรับผลิตชิปของอินเทลในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนทั่วยุโรปที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว ก็มีความคืบหน้าเช่นกัน โดยหนังสือพิมพ์ฮันเดลส์บลัตต์ ในเยอรมนี รายงานว่า รัฐบาลเยอรมันจะให้การสนับสนุนแก่อินเทลถึง 9,900 ล้านยูโร (ประมาณ 376,400 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 6,800 ล้านยูโร (ประมาณ 258,500 ล้านบาท) ที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้

ADVERTISMENT

แพ็ท เกลซิงเกอร์ (Pat Gelsinger) ซีอีโอของอินเทล พูดถึงการขอเพิ่มเงินส่งเสริมจากรัฐบาลเยอรมันว่า เป็นการขอเพิ่ม “ความสามารถในการแข่งขัน” เนื่องจากต้นทุนค่าแรงในเยอรมนีเพิ่มขึ้นอย่างมาก และต้นทุนวัสดุก็เพิ่มขึ้นมาก ดังนั้น ต้นทุนที่บริษัทต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันจึงสูงกว่าที่ประเมินไว้ในตอนแรก

นอกจากนั้น รัฐบาลอิสราเอลประกาศเมื่อ 18 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า อินเทลจะขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์หรือแผงวงจรในประเทศอิสราเอล ซึ่งอิสราเอลเป็น 1 ใน 4 ฐานการผลิตหลักของอินเทลอยู่แล้ว

ADVERTISMENT

การขยายฐานผลิตของอินเทลเป็นความพยายามของซีอีโออินเทล ที่ต้องการขยายฐานการผลิตนอกเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีอำนาจเหนือการผลิตชิป และเป็นภูมิภาคที่การผลิตชิปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคง เนื่องจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน อีกทั้งเกลซิงเกอร์มุ่งมั่นที่จะฟื้นความเป็นผู้นำในอุตฯชิปของอินเทลขึ้นมา หลังจากโดนคู่แข่งอย่าง Nvidia และ TSMC บดบังศักยภาพมาหลายปี

ในช่วงเดียวกัน สื่อต่างประเทศรายงานความเคลื่อนไหวของ ไมครอน เทคโนโลยี (Micron Technology) อีกบริษัทจากสหรัฐที่เพิ่งโดนทางการจีนแบนเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ไมครอนจะลงทุน 500,000 ล้านเยน (ประมาณ 123,000 ล้านบาท) เพื่อตั้งโรงงานผลิตชิปหน่วยความจำรุ่นใหม่ในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นประมาณ 200,000 ล้านเยน (ประมาณ 49,000 ล้านบาท)

การให้เงินทุนสนับสนุนการลงทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นสัญญาณความทะเยอทะยานในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นแหล่งผลิตสำรองของไต้หวัน ในกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน-สหรัฐทวีรุนแรงขึ้น

และมีการรายงานอีกว่า ไมครอนจะทุ่มเงินอย่างน้อย 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 34,770 ล้านบาท) สำหรับตั้งโรงงานบรรจุภัณฑ์ชิปในอินเดีย ซึ่งจำนวนเงินลงทุนจริงอาจเพิ่มขึ้นถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 69,500 ล้านบาท)

สำหรับอินเดีย ข้อตกลงนี้นับเป็นชัยชนะของนโยบาย “Make in India” ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ ตั้งฐานการผลิตในประเทศ เพื่อพัฒนาสินค้าที่ผลิตในอินเดียให้เป็นที่ยอมรับจากเวทีโลก

นอกจากนั้นยังมีความเคลื่อนไหวที่สร้างเซอร์ไพรส์ คือในวันที่ 16 มิถุนายน ไมครอนประกาศจะเพิ่มเงินลงทุนในจีนอีก 4,300 ล้านหยวน (ประมาณ 149,500 ล้านบาท) แม้ว่าจะเพิ่งโดนแบนก็ตาม นั่นก็เพื่อปกป้องรายได้ที่ยังเหลือหนทางให้รักษาไว้อยู่ในตลาดจีน ซึ่งมีมูลค่า 11% ของรายได้รวมของบริษัท

ทั้งหมดนี้นับเป็นความเคลื่อนไหวที่เขย่าโลกอย่างแท้จริง