ปลดล็อก SMEs ไทย ด้วยกุญแจ FinTech

ปลดล็อก SMEs ไทย
คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยคิด
ผู้เขียน : รศ.ดร.อภิรดี วงศ์กิจรุ่งเรือง มหาวิทยาลัยมหิดล
        พริ้มเพรา กิจพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
        ดร.นครินทร์ อมเรศ ธนาคารไทยพาณิชย์

บทบาทในการกำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารกลาง คือ การทำให้ผู้ที่ควรจะได้รับสินเชื่อแต่ยังเข้าไม่ถึง สามารถได้รับสินเชื่อ เป็นประเด็นที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวไว้ในงานสัมมนาที่จัดขึ้นในปี 2557

ซึ่งในระยะต่อมา แบงก์ชาติและระบบสถาบันการเงินได้พัฒนา PromptPay โครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินสำคัญ จนเป็นรากฐานให้เกิดโอกาสที่ financial technology (FinTech) เติบโตอย่างก้าวกระโดด

อย่างไรก็ดี FinTech เอื้อระบบสถาบันการเงินให้ตอบโจทย์ในการทำให้ผู้ที่ควรจะได้รับสินเชื่อแต่ยังเข้าไม่ถึงนั้น สามารถได้รับสินเชื่อ แล้วหรือไม่อย่างไร ?

คำถามดังกล่าวเป็นการบ้านที่ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ หัวหน้าโครงการศึกษาวิจัย เรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลของภาคการเงิน ภายใต้แผนงานอาเซียนในกระแสแห่งความพลิกผัน ระยะที่ 2 ด้วยทุนสนับสนุนการวิจัย ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้มอบหมายให้ทีมคณะผู้วิจัยย่อยทำการศึกษา

โดยแถมเพิ่มเติมด้วยว่าหาก FinTech ยังไม่ได้ทำหน้าที่นี้ได้อย่างเต็มที่ แล้วปัจจัยใดจะช่วยให้ FinTech เป็นกุญแจปลดล็อกให้ผู้ใช้บริการทางการเงิน โดยเฉพาะ SMEs จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเพียงพอในการต่อยอดธุรกิจได้

แนวทางหนึ่งที่คณะผู้วิจัย ได้หยิบยกมาใช้ทำการศึกษา คือ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพที่มุ่งทำความเข้าใจผ่านการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายเชิงลึก คือ SMEs ที่มีหลากหลายในเชิงพื้นที่ กิจกรรม การเข้าถึงบริการทางการเงิน และ FinTech ภายใต้การสนับสนุนจาก คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และคุณนที มนตริวัต ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ทำให้ได้มุมมอง ที่ขอสรุปเป็นลักษณะร่วมเบื้องต้น ดังนี้

SMEs ใช้เงินของตัวเอง หรือช่องทางการเงินอื่น ๆ เป็นทุนหลักในการดำเนินธุรกิจ

ผลจากการทำ pretest เบื้องต้นก่อนที่เราจะสำรวจเชิงลึกสะท้อนว่า SMEs ส่วนใหญ่ใช้เงินของตัวเอง ทั้งจากกำไรสะสม การผันสินทรัพย์ที่มีอยู่ หรือการหยิบยืมจากครอบครัวและคนรู้จัก มาเป็นทุนหลักในการดำเนินธุรกิจ

ซึ่งได้รับการยืนยันจากการสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายว่านี่เป็นลักษณะร่วมสำคัญที่ SMEs หลากหลายสาขา พื้นที่ และผลประกอบการทั้งดีและไม่ดี ต่างตอบใกล้เคียงกัน โดยในกลุ่ม SMEs เก่าแก่รากฐานดีย่อมมีทุนรอนในการดำเนินการ SMEs หน้าใหม่เองก็เริ่มจากทุนประเดิมที่พอหาได้

การใช้เงินของตัวเองสะท้อนความพร้อมในการประกอบการที่ทำให้การตัดสินใจประกอบธุรกิจต้องผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีก่อนที่จะลงมือเล่นจริงเจ็บจริง หรือการ skin in the game แต่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจแต่ขาดแหล่งเงินทุนที่เพียงพอด้วยต้นทุนที่เหมาะสมอาจไม่ได้รับโอกาสในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดให้การเติบโตทางธุรกิจของไทยไม่กระจายตัวเท่าที่ควร

สถาบันการเงินยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่จากข้อมูลการดำเนินธุรกิจ SMEs ประกอบการให้บริการ

ประเด็นร่วมที่ SMEs ให้สัมภาษณ์เชิงลึกคล้ายคลึงกัน คือ สถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารที่ใช้บริการอยู่นั้น ให้น้ำหนักกับปัญหาที่ผ่านไปแล้ว อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงวิกฤตโควิด มากกว่าโอกาสในการดำเนินธุรกิจที่ฟื้นตัวขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงขอบเขตในการใช้ประโยชน์ของข้อมูลในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมของผู้ให้บริการทางการเงิน

โดยเฉพาะข้อมูลการประกอบการที่มีหลักฐานชัดเจน และธนาคารสามารถเข้าถึงได้ เช่น ข้อมูลการเดินบัญชี ที่มีบันทึกธุรกรรมการค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นถึงชีพจรของการดำเนินธุรกิจทั้งในด้านสภาพคล่อง ฤดูกาล และปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ

ความเชื่อหนึ่งที่ค่อนข้างแพร่หลาย คือ SMEs มีหลายบัญชี จึงไม่อยากเปิดเผยข้อมูลให้สถาบันการเงินทราบ เพราะกลัวว่าข้อมูลจะนำไปสู่การถูกเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ดี SMEs ในกลุ่มตัวอย่าง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องอาศัยช่องทางดิจิทัลในการประกอบธุรกิจทั้งกับซัพพลายเออร์ และคู่ค้า มีความเข้าใจถึงประโยชน์ในการทำบัญชีอย่างเป็นระบบ และยินดีชั่งน้ำหนักของการทำบัญชีเดียว หากได้รับการอำนวยความสะดวกจากการประสานงานกับภาครัฐและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

FinTech มีศักยภาพในการปิดช่องว่างการให้บริการทางการเงินของสถาบันการเงินในปัจจุบัน

ความรู้สึกชื่นชมร่วมกันของ SMEs กลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการให้บริการของสถาบันการเงินในปัจจุบัน คือ มีพนักงานให้บริการที่สาขาที่ไว้วางใจได้ มีความเข้าใจลูกค้า และให้บริการตรงความต้องการ

อย่างไรก็ดี การอาศัยมนุษย์เป็นคนกลางในการดำเนินการ ก็ก่อให้เกิดอุปสรรคทางตรง เช่น การดำเนินการตามขั้นตอนพิธีการที่ต้องประสานงานกับสำนักงานใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลา ตลอดจน ในบางครั้งการให้บริการก็ขึ้นกับการตัดสินใจของพนักงานที่จะผลักดันการเสนอเรื่องต่อหรือไม่ ทำให้ SMEs ยังไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ สถาบันการเงินจะอาศัยหลักฐานทางการเงิน อาทิ งบการเงินซึ่งมีความถี่เป็นรายปี กว่าจะผ่านกระบวนการตรวจสอบบัญชี ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือการวางแผนทางการเงินเพื่อการลงทุนในอนาคต แม้ว่าโอกาสทางธุรกิจจะมีความชัดเจนเพียงใดก็ตาม

SMEs ที่แม้จะไม่ได้คุ้นเคยกับ FinTech มาก่อน แต่พอได้รับฟังถึงตัวอย่างการใช้งานในต่างประเทศ ก็สามารถให้ความเห็นต่อยอดโอกาสที่ FinTech จะสามารถปิดช่องว่างการให้บริการของสถาบันการเงินในปัจจุบันได้ โดยเฉพาะในการลดขั้นตอนและตัวกลางที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของมนุษย์ และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลอย่างเต็มที่เพื่อสะท้อนศักยภาพทางธุรกิจประกอบการอนุมัติพิจารณาสินเชื่อ

โดย SMEs อาจจะยังมีความกังวลในประเด็นของความปลอดภัย และการขาดความรู้และทักษะในการทำงานร่วมกับ FinTech แต่ก็พร้อมจะเรียนรู้ร่วมกับผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ

โดยสรุปแล้ว การทำให้ผู้ที่ควรได้รับสินเชื่อแต่ยังเข้าไม่ถึง สามารถเข้าถึงได้นั้น ยังมีข้อจำกัดโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กระจายตัวอย่างทั่วถึงได้ เสียงสะท้อนของ SMEs จากพฤติกรรมที่ยังต้องใช้เงินทุนตัวเอง

รวมถึงการไม่สามารถใช้ข้อมูลประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้เต็มที่ ตลอดจนความพร้อมที่จะใช้งาน FinTech ควบคู่กับการดูแลความปลอดภัย แสดงถึงโอกาสสำคัญที่ FinTech จะเป็นกุญแจปลดล็อกศักยภาพ SMEs ไทยได้ เพื่อให้ financial inclusion เกิดขึ้นควบคู่ไปกับ digital adoption ในภาคการชำระเงินไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามแล้ว

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด