ซีอีโอ “ซี.พี.” แนะพลิกการศึกษาไทยสู่ยุค 5.0 ชู SI Model เปลี่ยนให้ทันโลก

ศุภชัย เจียรวนนท์

ซีอีโอ ซี.พี. เสนอ กมธ.การศึกษา ขับเคลื่อนการศึกษาไทยสู่ยุค 5.0 เชื่อมแนวคิด SI Model ในร่างกฎหมายการศึกษาฉบับใหม่ ย้ำต้องก้าวทันโลก เด็กไทยต้องเข้าถึงคอมพิวเตอร์สะอาด

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดโครงการสัมมนาเรื่อง “เปลี่ยนการศึกษาไทย พลิกโฉมใหม่ประเทศ” เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก และนำไปสู่การปรับกฎหมายคือการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาการศึกษาเข้าขั้นวิกฤต จึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยให้ทัดเทียมกับการศึกษาระดับโลก โดยการขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ขึ้น ซึ่งการระดมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในครั้งนี้เป็นความมุ่งหวังที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปกำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษาไทยที่จะกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ

ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยต้องกำหนดทิศทางการพัฒนาด้านการศึกษาให้สอดคล้องกับความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยปัจจุบันโลกก้าวสู่ยุค 5.0 แต่การศึกษาไทยยังอยู่ในระบบ 2.0 จึงต้องเปลี่ยนมาสู่ระบบ 5.0 ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี กล่าวคือ กรอบความคิดต้องเปลี่ยนจากระบบ 2.0 ที่ว่า “สอบให้ผ่าน  ทำการบ้านให้เสร็จ ทำรายงานให้ทัน ปิดเทอม” มาสู่ 5.0 คือ “ตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ลงมือทำร่วมกัน  อภิปรายด้วยเหตุผล ปรับปรุงพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ

และว่าการเปลี่ยนการศึกษาไทยสู่ 5.0 ต้องกำหนดเข็มทิศอีกประการคือ การให้ความรัก ความมั่นคง และความมั่นใจกับเด็ก ครูจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนมาเป็น “โค้ชที่ดี” เป็นผู้นำกระบวนการเรียนรู้  (Facilitator) ที่มีความเมตตา และโรงเรียนควรปรับระบบการสอนให้เป็น Learning Center เด็กจะได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง โดยเน้นย้ำว่า เด็กทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่องค์ความรู้ทั้งโลก

ซีอีโอ ซี.พี. ยังได้เสนอกระบวนการปฏิรูปการศึกษา ด้วยโมเดล Sustainable Intelligence Transformation (SI Transformation Model) หากกฎหมายทางการศึกษาฉบับใหม่นำ SI  Model ไปปรับใช้อาจเปลี่ยนระบบนิเวศของการศึกษาให้ทันยุคสมัยได้

5 เสาหลักของ SI Model ประกอบด้วย  1. Transparency ความโปร่งใส ทุกโรงเรียนต้องมีรายงาน มีสมุดพกดิจิทัล ต้องมีตัวชี้วัด KPI ของโรงเรียน 2. Market Mechanism สร้างกลไกตลาดและวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพราะโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเด็ก ต้องสร้างความเชื่อมโยงของโรงเรียนกับชุมชนและครอบครัวให้มีส่วนร่วมพัฒนาระบบการศึกษาร่วมกัน พร้อมทั้งส่งเสริมสื่อคุณธรรมในช่วง Primetime โดยให้ Incentive เพราะห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือ สื่อ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคม

3. Leadership &Talents สร้างผู้นำและครู/บุคลากรทางการศึกษาที่มีทักษะ 5.0 และเสนอว่าควรไม่จำกัดวิทยฐานะผู้อำนวยการ และต้องสร้างครูให้เป็นผู้นำกระบวนการเรียนรู้ 4. Child Centric/Empowerment เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางให้อำนาจตัดสินใจ และ 5. Technology ควรมีการปรับสอนให้เกิดการประยุกต์เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน

“จะต้องมีการปรับปรุงระบบนิเวศการศึกษาเร่งด่วนใน 3 ด้าน คือ 1. เด็กทุกคนควรต้องมีคอมพิวเตอร์สะอาด  2. ทุกโรงเรียนต้องมี Learning Center เน้นการเรียนผ่านการลงมือทำในแบบ Action Based Learning ที่มีการผสมผสานความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย และ 3. ควรมีหลักสูตรภาษาคอมพิวเตอร์”

นายศุภชัยทิ้งท้ายด้วยว่า กฎหมายทางการศึกษาต้องเน้นไปเรื่องของธรรมาภิบาล คุณธรรม ถือเป็นเรื่องใหญ่ คนในระบบการศึกษาต้องปรับกรอบความคิดตามหลักมรรค 8 แม้จะพัฒนาการศึกษาด้วยเทคโนโลยี นำเอไอเข้ามาใช้ ก็ต้องสอนเรื่องคุณธรรม และจริยธรรมให้เป็นเนื้อเดียวกัน และสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนแบบ PPP ให้เอกชนมีส่วนร่วมในการเป็น Learning Center  ขณะที่ภาครัฐต้องมีทุนเทคสตาร์ทอัพในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ลูกหลานเติบโตอย่างมีคุณภาพ และปรับตัวได้

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ขับเคลื่อน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มองว่า ปัญหาของการศึกษาไทยมี 3 เรื่อง คือ 1. เด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษามากขึ้น 2. มีปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบการศึกษาสูงมาก และ 3.ปัญหาคุณภาพการศึกษาไทย ซึ่งจำเป็นต้องปรับกฎหมายทางการศึกษามุ่งเน้นการสร้างคนเพื่อพัฒนาประเทศได้

จากเดิมผลิตคนเพื่อป้อนเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมต้องปรับเปลี่ยนเป็นการสอนการใช้ชีวิตที่มีทักษะทางสังคม ระบบการศึกษาต้องเปลี่ยนหน้าที่จากการให้ความรู้มาเป็นการให้ทักษะ โดยสิ่งจำเป็นในการพัฒนาระบบการศึกษาและถือเป็นหัวใจสำคัญคือการพัฒนาครู

ดังนั้นกฎหมายทางการศึกษาต้องมี 4 เรื่องหลัก 1. ความชัดเจนในสิทธิของเด็ก ผู้ปกครอง ครอบครัวกับหน้าที่ของรัฐในการจัดสรรทรัพยากรโดยคำนึงถึงความเสมอภาค 2. ต้องส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในกฎหมายจะต้องเขียนให้ชัดว่ารัฐจะให้สิทธิและแรงจูงใจอย่างไรในการช่วยส่งเสริมการศึกษาและต้องมีการพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้ใหญ่ 3. พัฒนาหลักสูตร พร้อมทั้งฝึกครู ผลิตครูให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และ 4. ปรับโครงสร้างการจัดการระบบการศึกษาและระบบการประเมิน

ขณะที่พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เปิดเผยว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติไม่ว่าจะฉบับเก่าหรือใหม่ ควรต้องคงประเด็นเรื่องให้เด็กเป็นศูนย์กลางทางการเรียนรู้ และวัตถุประสงค์การศึกษาต้องสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์ และมีความสุข

โดยกุญแจสำคัญของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ คือ การศึกษาต้อง “สร้างสมรรถนะ” ให้ผู้เรียน ทั้งมองว่ายุค 5.0 เป็นโอกาสในการพัฒนาการศึกษาด้วยการใช้เทคโนโลยี และภาษา ซึ่งจะลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งเด็กจำเป็นต้องมีทักษะในการแสวงหาความรู้อย่างเท่าทัน

ดังนั้นการพลิกโฉมประเทศไทยต้องปฏิรูปการศึกษาใน 4 สมรรถนะ คือ เด็กต้องเรียนเพื่อรู้ ต้องเรียนและเอาไปทำ ปรับใช้ให้เป็น ต้องสอนให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนอื่นได้ และต้องสอนให้เด็กเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มีความสุข พร้อมทั้งมีคุณธรรมและจริยธรรม สิ่งจำเป็นมากที่สุดที่จะทำให้เกิดสมรรถนะได้คือต้องพัฒนาครูในการสร้างสมรรถนะเพื่อให้เกิดการพัฒนาการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด