คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตการลงทุน ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด
สวัสดีครับท่านนักลงทุน ผ่านไปแล้วสำหรับการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน 2Q66 ซึ่งทำกำไรสุทธิรวมกันที่ 2.22 แสนล้านบาท ลดลง 36.5% YOY และลดลง 21.3% QOQ
โดยกลุ่มที่ผลประกอบการเพิ่มขึ้นทั้ง YOY และ QOQ คือ ธนาคาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และท่องเที่ยว-โรงแรม กลุ่มที่เพิ่มขึ้น YOY แต่ลดลง QOQ คือ ขนส่ง และยานยนต์ กลุ่มที่ลดลงทั้ง YOY และ QOQ คือ พลังงาน วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การแพทย์ การเงิน ค้าปลีก ICT อาหาร เกษตร ทางด้านกลุ่มปิโตรเคมี ผลประกอบการพลิกมาขาดทุน
- กองทุนประกัน อนุมัติจ่ายเงิน 7.29 พันล้าน มี.ค.-เม.ย. รับรองมูลหนี้เพิ่ม 560 ล้าน
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- BITE SIZE : ถอนเงินไม่ใช้บัตร ข้ามแบงก์ได้แล้ว ธนาคารไหนรองรับบ้าง
ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทจดทะเบียนใน SET ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 5.06 แสนล้านบาท ลดลง 16.6% YOY ส่วนทิศทาง fund flow ในเดือน ส.ค. ต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 7 ที่ 1.54 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.26 หมื่นล้านบาท โดยเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ค้าปลีก แต่ลดสัดส่วนการถือครองในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรฯ ICT
ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex. Japan ในทุกช่วงเวลาทั้ง 1, 3, 6 และ 12 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในส่วนของประมาณการกำไร ปี 2566 ของ SET นั้น consensus มีการปรับลง 2.68% เช่นเดียวกับ จีน มาเลเซีย และฮ่องกง ที่ปรับลง 2.14%, 2.03% และ 0.50% ตรงข้ามกับสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ที่ปรับขึ้น 3.63%, 2.16%, 1.22% และ 1.09% ตามลำดับ
ด้านทิศทาง SET ขึ้นไปทำจุดสูงบริเวณ 1,580 จุด ก่อนชะลอตัวลง จากแรงขายทำกำไร และปัจจัยกดดันจากกลุ่มพลังงาน จากความกังวลนโยบายรัฐบาลที่จะช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยการปรับลดราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟ และค่าน้ำมัน กดดัน SET ลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,550 จุด
อย่างไรก็ตาม ผมมองเป็นเพียงการพักตัวสลับ ในภาพรวมที่คาดว่า SET ยังปรับขึ้นได้ต่อ โดยมองว่าแนวรับบริเวณ 1,530-1,550 จุด คาดว่าจะเป็นจุดที่ดัชนีเริ่มมี downside ที่จำกัด และปัจจัยหนุนจาก 1) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
โดยติดตามการแถลงนโยบาย ซึ่งรัฐบาลวางนโยบายเร่งด่วนไว้ ได้แก่ เติมเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท, แก้ปัญหาหนี้สิน, นโยบายลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน, ผลักดันท่องเที่ยว 2) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และ 3) ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวดีขึ้น เป็นปัจจัยหนุน SET ให้ปรับตัวขึ้นได้ต่อในภาพรวม โดยผมมองแนวต้านเป้าหมายไว้ที่บริเวณ 1,630-1,650 จุด
ดังนั้น การอ่อนตัวของดัชนีให้ใช้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม โดยแนะนำกลุ่มหุ้น ดังนี้ 1) หุ้นที่เหมาะลงทุนระยะกลาง แนะนำ 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรม ซึ่งคาด 2H66 กำไรจะเติบโต HOH และ YOY เลือก PTT BCP KCE HANA BDMS BCH AOT ERW 2) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
โดยราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นช้ากว่า SET เลือก มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ (CPALL CPAXT HTC CRC) มาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (GULF KTB) และเก็งกำไรมาตรการกระตุ้น ภาคอสังหาฯ (LH)
และ 3) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์ fund flow ไหลกลับ เลือก KBANK CPN
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
…แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี