SET เดือนกันยายน ปรับขึ้นได้-การเมืองหนุน

ปรับขึ้นได้-การเมืองหนุน
คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตการลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

สวัสดีครับท่านนักลงทุน ผ่านไปแล้วสำหรับการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน 2Q66 ซึ่งทำกำไรสุทธิรวมกันที่ 2.22 แสนล้านบาท ลดลง 36.5% YOY และลดลง 21.3% QOQ

โดยกลุ่มที่ผลประกอบการเพิ่มขึ้นทั้ง YOY และ QOQ คือ ธนาคาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และท่องเที่ยว-โรงแรม กลุ่มที่เพิ่มขึ้น YOY แต่ลดลง QOQ คือ ขนส่ง และยานยนต์ กลุ่มที่ลดลงทั้ง YOY และ QOQ คือ พลังงาน วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การแพทย์ การเงิน ค้าปลีก ICT อาหาร เกษตร ทางด้านกลุ่มปิโตรเคมี ผลประกอบการพลิกมาขาดทุน

ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทจดทะเบียนใน SET ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 5.06 แสนล้านบาท ลดลง 16.6% YOY ส่วนทิศทาง fund flow ในเดือน ส.ค. ต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 7 ที่ 1.54 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.26 หมื่นล้านบาท โดยเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ค้าปลีก แต่ลดสัดส่วนการถือครองในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรฯ ICT

ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex. Japan ในทุกช่วงเวลาทั้ง 1, 3, 6 และ 12 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในส่วนของประมาณการกำไร ปี 2566 ของ SET นั้น consensus มีการปรับลง 2.68% เช่นเดียวกับ จีน มาเลเซีย และฮ่องกง ที่ปรับลง 2.14%, 2.03% และ 0.50% ตรงข้ามกับสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ที่ปรับขึ้น 3.63%, 2.16%, 1.22% และ 1.09% ตามลำดับ

ด้านทิศทาง SET ขึ้นไปทำจุดสูงบริเวณ 1,580 จุด ก่อนชะลอตัวลง จากแรงขายทำกำไร และปัจจัยกดดันจากกลุ่มพลังงาน จากความกังวลนโยบายรัฐบาลที่จะช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยการปรับลดราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟ และค่าน้ำมัน กดดัน SET ลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,550 จุด

อย่างไรก็ตาม ผมมองเป็นเพียงการพักตัวสลับ ในภาพรวมที่คาดว่า SET ยังปรับขึ้นได้ต่อ โดยมองว่าแนวรับบริเวณ 1,530-1,550 จุด คาดว่าจะเป็นจุดที่ดัชนีเริ่มมี downside ที่จำกัด และปัจจัยหนุนจาก 1) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่

โดยติดตามการแถลงนโยบาย ซึ่งรัฐบาลวางนโยบายเร่งด่วนไว้ ได้แก่ เติมเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท, แก้ปัญหาหนี้สิน, นโยบายลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน, ผลักดันท่องเที่ยว 2) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และ 3) ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวดีขึ้น เป็นปัจจัยหนุน SET ให้ปรับตัวขึ้นได้ต่อในภาพรวม โดยผมมองแนวต้านเป้าหมายไว้ที่บริเวณ 1,630-1,650 จุด

ดังนั้น การอ่อนตัวของดัชนีให้ใช้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม โดยแนะนำกลุ่มหุ้น ดังนี้ 1) หุ้นที่เหมาะลงทุนระยะกลาง แนะนำ 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรม ซึ่งคาด 2H66 กำไรจะเติบโต HOH และ YOY เลือก PTT BCP KCE HANA BDMS BCH AOT ERW 2) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่

โดยราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นช้ากว่า SET เลือก มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ (CPALL CPAXT HTC CRC) มาตรการกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (GULF KTB) และเก็งกำไรมาตรการกระตุ้น ภาคอสังหาฯ (LH)

และ 3) หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์ fund flow ไหลกลับ เลือก KBANK CPN

ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)

…แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี