
คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
เห็นตัวเลขยอดขายรถยนต์ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป แล้วต้องยอมรับเลยว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของเมืองไทยถึงจุดเปลี่ยนแล้ว
ยอดขาย “โตโยต้า” ยังเป็นอันดับ 1
“ฮอนด้า” อันดับที่ 2
แต่อันดับที่ 3 คือ BYD
อันดับ 4 Aion อันดับ 5 MG อันดับ 6 GWM อันดับ 7 ChangAn อันดับ 8 Isuzu อันดับ 9 Nissan
และอันดับ 10 Mazda
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ รถยนต์แบรนด์จีนติดอันดับถึง 5 ใน 10
อันดับ 3-7 เป็นรถยนต์แบรนด์จีนเรียงกันมาเลย
แม้ยอดขายรวม “ญี่ปุ่น” ยังชนะ “จีน” อยู่
แต่ตัวเลขที่ก้าวกระโดดของรถยนต์จีนน่าตกใจมาก
แสดงว่าพลังของ “แบรนด์” รถญี่ปุ่นที่ครองตลาดมานานเริ่มลดลงแล้ว
และไม่ใช่แค่ลดลงธรรมดา
แต่ลดวูบลงอย่างรวดเร็ว
อีกเรื่องหนึ่ง คือ รถยนต์อีวีที่ขายได้ในงานนี้ สูงถึง 38.4%
จากเมื่อเดือนมีนาคมที่ขายในงานมอเตอร์โชว์ 21%
สูงขึ้นเกือบเท่าตัวเลยนะครับ
อย่าแปลกใจที่จะเห็นผู้บริหารรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นหลายคนออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความกังวลอย่างชัดเจน
ในมุมของธุรกิจก็เรื่องหนึ่ง
แต่ในเรื่องภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยึดโยงกับยอดการส่งออกและแรงงานจำนวนมาก
รัฐบาลต้องนำมาใคร่ครวญอย่างหนัก
เพราะรถยนต์อีวีจากจีนเกือบทั้งหมดที่ขายในเมืองไทยเป็นรถนำเข้าจากจีนที่ภาษีเป็น 0
และมีเงื่อนไขจูงใจให้รถยนต์อีวีลดราคาลงอีก
โดยแลกกับการตั้งโรงงานในเมืองไทย
ในมุมหนึ่งเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญมาก เพราะแสดงชัดว่าเมืองไทยมีเป้าหมายจะเปลี่ยนผ่านไปสู่รถอีวี ซึ่งเป็น “อนาคต” ของอุตสาหกรรมรถยนต์
แต่ในช่วง “การเปลี่ยนผ่าน” จะทำอย่างไรให้ประเทศได้ประโยชน์มากที่สุด
หรือสูญเสียน้อยที่สุด
อย่าลืมว่าการผลิตรถยนต์สันดาปภายในของไทย มีมูลค่าสูงถึง 11% ของ GDP
มีซัพพลายเชนมากกว่า 2,300 ราย
มีแรงงาน 700,000-800,000 คน ในระบบ
รถอีวีนั้นใช้ชิ้นส่วนรถยนต์น้อยมาก
ชิ้นส่วนที่จะกระทบมากที่สุด คือ เครื่องยนต์ ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และระบบเกียร์
เพราะรถอีวีไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนเหล่านี้ในรถ
รองลงมาคือ กลุ่มส่วนประกอบไฟฟ้า ตัวถัง ระบบเบรก และระบบหล่อเย็น
คาดว่าคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คงเห็นปัญหานี้แล้ว
เขาจึงพยายามปักธงบอกบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นว่า เมืองไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์สันดาปแห่งสุดท้าย
คงเตรียมให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น เพื่อให้เมืองไทยเป็นฐานที่มั่นของเขา
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าดีมานด์รถสันดาปภายในของตลาดโลกเริ่มลดลง หากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะลดกำลังการผลิตลง ก็ปิดโรงงานในประเทศอื่นมาอยู่เมืองไทยที่เดียวดีกว่า
แต่การให้คำว่า “แห่งสุดท้าย” กับรถยนต์สันดาป ดูเศร้าสร้อยไปหน่อย
น่าจะหาคำทางบวกที่ดีกว่านี้
รัฐบาลคงคิดแล้วว่าแนวทางนี้ คือ วิธีการยืดอายุอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ในเมืองไทยให้นานที่สุด
ในขณะที่ชัดเจนว่าจะเดินไปในเส้นทางอนาคต คือ รถอีวี
แต่จะสำเร็จหรือไม่ คงต้องรอดูผลการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้ของคุณเศรษฐา
เขานัดพบบริษัทรถยนต์หลายแห่ง
แต่แปลกที่รายชื่อที่แจ้งกับสื่อมวลชน ไม่มี “โตโยต้า” ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการรถยนต์
ไม่รู้ว่ายังไม่คอนเฟิร์ม หรืองอนอะไรหรือเปล่า
อีกประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลไทยต้องคิดให้ดี คือ วิธีคิดของนักลงทุนญี่ปุ่นกับจีนนั้นแตกต่างกัน
ถ้าดูจากอุตสาหกรรมรถยนต์ “ญี่ปุ่น” กระจายรายได้ค่อนข้างดี
โรงงานชิ้นส่วนส่วนใหญ่เป็นของคนไทย
แต่การลงทุนของจีนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งในเมืองไทยและในประเทศอื่น ๆ
เขามาแบบครบวงจร
บางประเทศเอาแรงงานจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก
หรือดูจากธุรกิจการท่องเที่ยว ทัวร์จีนที่มา โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้าที่ซื้อของ ฯลฯ
คนจีนเป็นเจ้าของเกือบทั้งหมด
ประเด็นนี้ คือ เรื่องสำคัญ ที่รัฐบาลต้องวางแผนให้ดี
เพื่อให้เมืองไทยได้ประโยชน์สูงสุด