อัยการ ธนกฤต ชี้ศาลรัฐธรรมนูญอาจปัดตกคำร้อง ชะลอโหวตนายกฯ

อัยการธนกฤต

อัยการ ธนกฤต คาดศาลรัฐธรรมนูญอาจยกคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ยุติคำร้องญัตติห้ามโหวตพิธารอบสอง เพราะ สส.ที่เข้าชื่อไม่ได้ถูกละเมิดสิทธิโดยตรง

วันที่ 1 สิงหาคม 2566 ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด  ให้ความเห็นทางกฎหมาย ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าจะรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 กรณีรัฐสภามีมติเรื่องการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบในรอบที่ 2 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ว่า

จุดชี้ขาดสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 โดยพิจารณาจากผู้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประชาชนว่าเป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือไม่

จากการกระทำของรัฐสภาที่ลงมติว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 สำหรับกรณีนี้ หากพิจารณาข้อกล่าวอ้างในประเด็นเรื่องบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการลงมติของรัฐสภา

ถ้าหากจะมีเกิดขึ้น ที่เห็นได้ชัดเจนน่าจะเป็น คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งถูกละเมิดสิทธิในการได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่คุณพิธาไม่ได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่กลับเป็น สส.และประชาชนจำนวนหนึ่งเป็นผู้ร้องเรียน

ดังนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า สส.และประชาชนผู้ร้องเรียนไม่ได้เป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการกระทำของรัฐสภาที่ลงมติดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้พิจารณาวินิจฉัย

“และเมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว คำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ย่อมเป็นอันตกไปด้วย”

นอกจากนี้ หากพิจารณาแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่าน ๆ มา ศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนวคำวินิจฉัยมาโดยตลอดว่า ผู้ร้องต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการกระทำของผู้ถูกร้อง ดังตัวอย่าง คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2565 ที่วินิจฉัยว่า

ตามที่นายระวี มาศฉมาดล สส.พรรคพลังธรรมใหม่ ยื่นคำร้องว่าการลงมติของรัฐสภาที่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขให้มีจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน และ สส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และกำหนดให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องในฐานะ สส. ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งเป็นการกระทำทางนิติบัญญัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรง เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นของผู้ร้องในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐสภา ที่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย