AOT เร่งขยายศักยภาพ “สุวรรณภูมิ” รับอุตสาหกรรมการบิน-ท่องเที่ยวเติบโต

“สนามบินสุวรรณภูมิ” เดินหน้าสู่ปีที่ 18 ย้ำความมุ่งมั่น ทำหน้าที่เป็นประตูต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลก ด้วยมาตรฐานระดับสากล พร้อมเปิด Soft Opening อาคาร SAT-1 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี เตรียมลุยลงทุนเมกะโปรเจ็กต์-เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก ควบคู่การทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “กรีนแอร์พอร์ต” แห่งแรกของไทย 

วันที่ 27 กันยายน 2566 นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า วันที่ 28 กันยายน 2566 นี้จะเป็นวันครบรอบ 17 ปี การดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ท่าอากาศยานกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังการเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เป็นเวลาเกือบ 3 ปี

และเพื่อรองรับการเติบโตพร้อมกับการก้าวสู่ปีที่ 18 ทสภ.ได้มีแผนงานทั้งในส่วนของการขยายพื้นที่ให้บริการ ลงทุนใหม่ในโครงสร้างพื้นฐานหลักของท่าอากาศยาน ตลอดจนเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในส่วนของการเปิดพื้นที่บริการใหม่นั้น ในวันที่ 28 กันยายน 2566 ทสภ.จะเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรืออาคาร SAT-1 ในรูปแบบ Soft Opening พร้อมประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะ ก่อนพิจารณาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบก่อนสิ้นปี 2566 ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของ ทสภ. จาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี

พร้อมกันนี้ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ในการจัดการกับกระเป๋าสัมภาระ Check-in โดยติดตั้งระบบ Individual Carrier System (ICS) ซึ่งเป็นระบบขนส่งสัมภาระความเร็วสูง เชื่อมต่อระหว่างอาคารผู้โดยสารหลัก (MTB) กับอาคาร SAT-1 มีจุดเด่นสามารถติดตามกระเป๋าสัมภาระที่มีความแม่นยำสูง ลดปัญหากระเป๋าสัมภาระเสียหายในขั้นตอนการลำเลียงขึ้นอากาศยานได้

นอกจากนี้ ทสภ.ยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพการรองรับเที่ยวบินได้มากขึ้นในระยะต่อไป คือโครงการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 3 ซึ่งตามแผนงานมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคม 2567 และสนับสนุนให้ ทสภ.สามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้นเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากปัจจุบันที่มีรันเวย์ 2 เส้น สามารถรองรับได้ 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลัก ด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ซึ่งจะขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านคนต่อปี ด้วยการเพิ่มพื้นที่ 66,000 ตารางเมตร สถานะปัจจุบันได้ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ในระหว่างการปรับแบบให้สอดคล้องกับบริบทด้านการบินในปัจจุบัน คาดว่าจะเปิดประมูลโครงการต้นปี 2567 นี้ 

ส่วนการบริการในพื้นที่เขตปลอดอากร ทสภ.ได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าทั้งในและระหว่างประเทศ โดยมีการนำระบบการจัดการข้อมูลในเขตปลอดอากร (Free zone Data Management System : FDMS) ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุม ติดตาม ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของสินค้ามาใช้ในการบริหารจัดการและรายงานความเคลื่อนไหวของสินค้าภายในพื้นที่เขตปลอดอากร โดยผู้เกี่ยวข้องสามารถลงทะเบียนจองคิวรับ-ส่ง สินค้าผ่านทางเว็บไซต์ https://ezcargo.airportthai.co.th และสามารถตรวจสอบคิวรับ-ส่งสินค้าได้ผ่านช่องทาง Mobile Application (EZ Cargo by AOT)

นอกจากนี้ ทสภ.ได้ติดตั้งระบบบริหารจัดการและจัดเก็บค่าบริการจอดรถ AOT Parking Management System (AOT PMS) ประกอบด้วยระบบจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์แบบอัตโนมัติ (Auto Pay) ณ อาคารจอดรถยนต์โซน 2 และโซน 3 ที่ผู้ใช้บริการสามารถเลือกชำระค่าบริการด้วยเงินสด หรือสแกน QR Code ผ่าน Application (AOT Smart Carpark) ไม่เพียงเท่านี้ ใน Application ยังสามารถแสดงจำนวนช่องจอดแบบ Real Time และสามารถค้นหาตำแหน่งที่จอดรถของผู้ใช้บริการได้ (Finding Car) โดยขณะนี้ระบบทั้งหมดอยู่ระหว่างการทดสอบระบบ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปลายปี 2566

นายกิตติพงศ์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากการเดินหน้าขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการแล้ว ทสภ.ยังให้ความสำคัญกับการประกอบธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยได้เป็นท่าอากาศยานต้นแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Airport) แห่งแรกในประเทศไทย จากโครงการระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่อาคารผู้โดยสาร

โครงการนี้มีกำลังการผลิตขนาด 4.408 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2566 เป็นต้นมา ซึ่งนอกจากจะช่วยให้มีการใช้พลังงานจากเเสงอาทิตย์เเล้ว แผงโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้ความร้อนภายในอาคารผู้โดยสารลดลงมากกว่า 7 องศา ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 3,600 ตันต่อปี และในระยะต่อไปจะดำเนินการติดตั้งโซลาร์เซลล์อาคารอื่น ๆ ภายในท่าอากาศยาน รวมถึง Floating Solar บนพื้นน้ำในเขต ทสภ. ด้วย 

นายกิตติพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565-สิงหาคม 2566) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2565 ทสภ.มีเที่ยวบินที่ทำการบินรวมทั้งสิ้น 268,477 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.4 

และมีผู้โดยสารใช้บริการรวมทั้งสิ้น 44.40 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 153.4 ทำให้เมื่อนับรวมตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 รวมระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ทสภ.ได้ต้อนรับและให้บริการผู้โดยสารจากทั่วโลกแล้วทั้งสิ้น 756.47 ล้านคน ด้วยเที่ยวบินรวม 4.74 ล้านเที่ยวบิน และให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศรวมทั้งสิ้น 20.95 ล้านตัน