ซีเอ็นเอ็น บิสซิเนส สื่อสหรัฐวิเคราะห์ปัจจัย 3 ด้านที่บ่งบอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยับช้าลงแล้ว รวมถึงสถานการณ์น้ำมันโลกที่เจอผลกระทบศึกรัสเซีย-ยูเครน ส่อวิกฤตเหมือนยุค 70 และอาจรุนแรงกว่า
วันที่ 5 มิถุนายน 2565 ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า สภาพการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขณะนี้ ทำให้บรรดานักธุรกิจชั้นนำหลายคนสะท้อนความคิดเห็นที่หวั่นเกรงว่า เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งเสี่ยงต่อคะแนนเสียงรัฐบาลนายโจ ไบเดน ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งสภากลางเทอมช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- เงื่อนไข ธอส. จัดเงินฝากออมทรัพย์ “เก็บออม” ดอกเบี้ยสูง 1.95%
ซีเอ็นเอ็นวิเคราะห์ว่า ช่วงเวลานี้มีสัญญาณหลายด้านที่บ่งบอกว่า ภาคธุรกิจจะลดระดับเกียร์คันเร่งลง โดยมีตัวชี้วัด 3 ตัวหลักว่าเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจสหรัฐเย็นลงเมื่อเทียบกับช่วงระเบิดความอัดอั้นหลังการยกเลิกล็อกดาวน์โควิด ดังนี้
1. ตลาดแรงงาน แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานสหรัฐตามรายงานเดือนพฤษภาคม ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.เพิ่มอีก 390,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่คาด แต่ลดลงจากเมื่อเดือนเมษายนที่มีจำนวน 428,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปีก่อน มีงานหวนกลับเข้ามาแต่ละเดือนราว 450,000 ถึง 650,000 ตำแหน่ง
2.ตลาดบ้าน ต้นทุนการกู้ยืม หรือ borrowing costs พุ่งสูงมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ตัดสินใจเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การจำนองที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เฉลี่ย 5.09% เมื่อสิ้นสุดปลายสัปดาห์ที่ 2 มิ.ย. เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.99%
สัญญาณเหล่านี้สะท้อนบางมุมว่า ผู้ซื้อบ้านเริ่มออกจากตลาดแล้ว ซึ่งช่วยให้อุปสงค์คลี่คลายความร้อนแรง การขายบ้านที่มีอยู่แล้วในสหรัฐดิ่งลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เมื่อนับถึงเดือนเมษายน
3. รายงานสรุปสภาพเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันของเฟด ฉบับล่าสุดที่เพิ่งเผยแพร่สัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงตัวเลขว่าสาขาธนาคาร 12 เขตของเฟด (บอสตัน นิวยอร์ก ฟิลาเดลเฟีย คลีฟแลนด์ ริชมอนด์ แอตแลนตา ชิคาโก เซนต์หลุยส์ มินเนแอโปลิส แคนซัส ดัลลัส ซานฟรานซิสโก) มีเศรษฐกิจที่ขยายตัว แต่ผลกระทบจากการคุมเข้มทางการเงินมากขึ้นเริ่มประจักษ์ชัด
“ช่องทางการขายปลีกเริ่มอ่อนลงเพราะผู้บริโภคเจอกับราคาสินค้าสูงขึ้น ส่วนช่องทางการซื้อขายที่อยู่อาศัยก็อ่อนลง เพราะผู้ซื้อเจอราคาและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ในจำนวนนี้ 8 เขตมีการขยายตัวคาดการณ์ในอนาคตลดลง และอีก 3 เขตเริ่มกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
ตัวเลขไม่ได้บอกสถานการณ์จริง
นอกจากนี้ ตัวเลขต่าง ๆ ยังสับสนอลหม่านอยู่ นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้กรุ๊ป มองว่า การดึงแรงงานกลับด้วยการว่าจ้างงานยังไม่ใช่สัญญาณสะท้อนเศรษฐกิจว่าเริ่มกลับไปสู่จุดที่เป็นปกติแล้ว
“ขณะที่การชะลอตัวลงของการจ้างงานอาจเป็นสัญญาณที่เฟดดีใจว่า ความต้องการคนทำงานเริ่มแผ่วลงแล้ว ในระยะเวลาอันใกล้เราอาจได้เห็นจังหวะการเติบโตของตำแหน่งงานที่เบาบางลงและสะท้อนถึงการจำกัดคนมากขึ้นจากจำนวนคนงานที่มีจำกัด” งานวิจัยหนึ่งที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้ระบุ
จากข้อมูลของสมาคมหลักทรัพย์ไทยเมื่อเดือนเมษายน มีตำแหน่งงานเปิดในสหรัฐ 11.4 ล้านตำแหน่ง บวกกับการขายบ้านที่ฟื้นกลับมา โดยราคายังสูงต่อเนื่อง ราคากลาง ๆ ของบ้านในเดือน เม.ย.อยู่ที่ราว 391,200 ดอลลาร์ หรือ 13.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากปีก่อน
นั่นหมายความว่ายังเร็วเกินไปมากที่จะกล่าวว่า แผนงานของเฟดที่ให้เศรษฐกิจลงจอดอย่างนิ่มนวล หรือ “soft landing” จะได้ผลหรือไม่ และนักลงทุนต้องฉลาดที่จะติดตามกระบวนการนี้อย่างระมัดระวัง
เค้าลางวิกฤตน้ำมันแบบยุค 70
กลุ่มโอเปกตกลงที่จะเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันดิบในอีก 2 เดือนข้างหน้า หลังจากการผลิตของรัสเซียลดลงจากการแซงก์ชั่นของชาติตะวันตก
รายละเอียดก็คือ กลุ่มผูกขาดการส่งออกน้ำมันเหล่านี้จะเพิ่มการผลิต 648,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม หรือเพิ่มขึ้นวันละ 200,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่กำหนดไว้กับผู้ผลิตนอกกลุ่มชาติอื่น หรือโอเปกพลัสที่มีรัสเซียด้วย
รัฐบาลนายไบเดนยินดีกับการตัดสินใจนี้ของโอเปกพลัส โดยเฉพาะบทบาทของซาอุดีอาระเบีย ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มที่บรรลุฉันทามติในกลุ่มได้
แต่ปฏิกิริยาตอบรับข่าวนี้ยังเงียบงัน เพราะราคาน้ำมันโลกเพิ่มขึ้นอีก 1% ไปที่ 117 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งที่เพิ่งลดลงในวันที่ประกาศข่าวดี 5%
โรเบิร์ต แมคแนลลี ประธานกลุ่มพลังงาน Rapidan Energy Group กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. มาจากการมองว่า โอเปกเคลื่อนไหวพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ใช่จะเอาจริงเอาจัง ดังนั้น ก็คงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากต่อราคาน้ำมันที่รุนแรงขึ้นจนกระทบเป็นวิกฤตค่าครองชีพที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
เจ้าหน้าที่ด้านพลังงานทั้งคนที่เคยอยู่ในตำแหน่งและเจ้าหน้าที่ปัจจุบันต่างเผยกับซีเอ็นเอ็นถึงความวิตกของสงครามรัสเซียบุกยูเครนว่า จะตามมาด้วยสถานการณ์ที่การลงทุนในภาคพลังงานต่ำเกินปกติ และจะก่อให้เกิดวิกฤตราคาน้ำมันโลกแบบเมื่อยุค 1970 และต้น 1980
“เคยมีวิกฤตน้ำมัน วิกฤตก๊าซ และวิกฤตกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันมาแล้ว” เฟธ ไบรอล หัวหน้าสำนักงานพลังงานสากล ให้สัมภาษณ์สื่อเยอรมัน เดอร์ ชปีเกิล ในสัปดาห์นี้ และว่า “วิกฤตพลังงานครั้งนี้ใหญ่กว่าวิกฤตเมื่อยุค 1970 และ 1980 และจะส่งผลกระทบยาวนานด้วย”
นักธุรกิจใจไม่ดีเลยกับเศรษฐกิจ
นอกจากเจมี ไดมอน ซีอีโอ เจพี มอร์แกน เชส ในฐานผู้บริหารชั้นนำในแวดวงตลาดหุ้นวอลล์สตรีต เพิ่งเตือนให้เหล่านักธุรกิจและนักลงทุนระวังภาวะ “เฮอริเคนเศรษฐกิจ”
บุคคลที่ร่ำรวยอันดับโลกอย่างอีลอน มัสก์ เพิ่งเอ่ยวาทะเป็นข่าวพาดหัวว่า สังหรณ์ใจโคตรไม่ดีกับเศรษฐกิจ หรือ “super bad feeling” พร้อมยังส่งอีเมล์แจ้งพนักงานเทสลาว่า จะต้องตัดลดคนลง 10% แม้ว่าต่อมาจะแก้ไขเป้าหมายใหม่ว่า ไม่ลดคนลง แต่ก็บอกล่วงหน้าไว้ว่า ค่าจ้างเงินเดือนคงจะไม่ขึ้น
อีลอน มัสก์ เป็นผู้บริหารที่โดดเด่นที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ และการแสดงออกถึงความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ อาจมาจากตัวเลขข้อมูลระดับพื้นฐาน หรือสะท้อนมุมมองด้านลบของผู้บริโภค นักลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์บางคน
- อีลอน มัสก์ กลับลำเรื่องลดพนักงานเทสลาหลังหุ้นร่วง
- อีลอน มัสก์ จ่อลดพนักงานเทสลา 10% หวั่นเศรษฐกิจถดถอย
- เทสลาหุ้นร่วงหนัก ความมั่งคั่ง “อีลอน มัสก์” ลดลง 1.6 ล้านล้านบาท
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตอบคำถามเรื่องวาทะสังหรณ์ใจโคตรไม่ดีกับเศรษฐกิจ ด้วยข้อมูลตอบโต้ว่า ค่ายรถฟอร์ดเพิ่มการลงทุนรถอีวีด้วยการจ้างพนักงานเพิ่มอีก 6,000 ตำแหน่ง ส่วนบริษัท สเตลแลนติส ก็เพิ่มการลงทุนเดียวกัน ทั้งยังเพิ่มตำแหน่งงานผลิตชิปคอมพิวเตอร์อีก 20,000 ตำแหน่ง
View this post on Instagram
ก่อนเย้ยนิด ๆ ถึงอีลอน มัสก์ ว่า “ขอให้โชคดีมาก ๆ ในทริปไปดวงจันทร์ของเขาก็แล้วกัน”
ทั้งนี้ อีลอน มัสก์ กับไบเดน เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานแล้ว มัสก์เป็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์ไบเดนอยู่บ่อยครั้ง และประกาศตัวเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันด้วย
- ไบเดน-อีลอน มัสก์ ปลื้มรถอีวีเหมือนกัน แต่ทำไมต่างทนกันไม่ได้
- ซีอีโอ เจพี มอร์แกน เตือนภัย “เฮอริเคนเศรษฐกิจ” จากศึก รัสเซีย-ยูเครน ซัดสหรัฐ